ประวัตินักธรรมโดยสังเขป
บทนำ การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม หรือที่เรียกขานกันโดยทั่วไปว่า “นักธรรม” นั้น ถือกำเนิดขึ้นตามพระดำริของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เพื่อเป็นการวางรากฐานการศึกษาพระธรรมวินัยในภาษาไทย มุ่งหวังให้ภิกษุสามเณรผู้เป็นศาสนทายาทและกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนา สามารถศึกษาหลักธรรมคำสอนได้อย่างสะดวกและทั่วถึง อันจะเป็นพื้นฐานสำคัญนำไปสู่สัมมาปฏิบัติ และการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ไพบูลย์สืบไป
๑. ปฐมบทแห่งการปฏิรูปการศึกษาคณะสงฆ์
ในอดีตกาล การศึกษาของคณะสงฆ์ไทยนิยมศึกษาผ่านคัมภีร์ภาษาบาลีเป็นหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากลำบากสำหรับภิกษุสามเณรทั่วไป ส่งผลให้ผู้มีความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยมีจำนวนจำกัด เป็นเหตุให้สังฆมณฑลขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการช่วยเหลือกิจการคณะสงฆ์ ทั้งด้านการศึกษา การปกครอง และการเผยแผ่ธรรม
ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงทรงมีพระดำริให้ริเริ่มวิธีการเล่าเรียนพระธรรมวินัยเป็น “ภาษาไทย” ขึ้น ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นแห่งแรก นับแต่ทรงรับหน้าที่ปกครองวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ โดยทรงกำหนดหลักสูตรครอบคลุมทั้งหลักธรรม พุทธประวัติ พระวินัย และการฝึกหัดแต่งแก้กระทู้ธรรม
๒. กำเนิด “องค์นักธรรม” และความเกี่ยวข้องกับการเกณฑ์ทหาร
เมื่อการจัดการเรียนการสอนด้วยภาษาไทยสัมฤทธิ์ผลเป็นที่น่าพอใจ ประกอบกับในปี พ.ศ. ๒๔๔๘ ทางราชการได้ตราพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ซึ่งยกเว้นให้เฉพาะ “สามเณรผู้รู้ธรรม” ทางคณะสงฆ์จึงจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานความรู้ขึ้น
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ จึงทรงกำหนดหลักสูตร “องค์สามเณรรู้ธรรม” ขึ้น ต่อมาได้ทรงปรับปรุงพัฒนาจนเป็น “องค์นักธรรม” สำหรับภิกษุสามเณรนวกะ (ผู้บวชใหม่) ทั่วไป และได้รับพระบรมราชานุมัติเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ โดยมีการจัดสอบส่วนกลางครั้งแรกในเดือนตุลาคม ปีเดียวกัน ณ สนามสอบวัดบวรนิเวศวิหาร วัดมหาธาตุ และวัดเบญจมบพิตร
๓. วิวัฒนาการของหลักสูตรนักธรรม (ตรี โท เอก)
เพื่อให้การศึกษานักธรรมครอบคลุมภิกษุสามเณรทุกระดับชั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ จึงทรงวางรากฐานหลักสูตรไว้ดังนี้:
- นักธรรมชั้นตรี (นวกภูมิ): ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ สำหรับภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ ให้มีความรู้ธรรมวินัยพอรักษาตัวได้ โดยเพิ่มหมวดคิหิปฏิบัติเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่อาจลาสิกขาไปครองเรือน
- นักธรรมชั้นโท (มัชฌิมภูมิ): สำหรับภิกษุชั้นกลาง (พรรษาเกิน ๕ แต่ไม่ถึง ๑๐) ให้มีความรู้กว้างขวางพอที่จะแนะนำสั่งสอนผู้อื่นได้
- นักธรรมชั้นเอก (เถรภูมิ): สำหรับภิกษุชั้นเถระ (พรรษา ๑๐ ขึ้นไป) ให้มีความรู้ละเอียดลึกซึ้ง สามารถเป็นหลักในสังฆกรรมและเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ได้ (หลักสูตรนี้จัดตั้งสมบูรณ์ในสมัยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์)
๔. กำเนิด “ธรรมศึกษา” สำหรับฆราวาส
ในกาลต่อมา พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงเล็งเห็นว่า การศึกษานักธรรมนั้นมิได้เป็นประโยชน์เฉพาะแก่บรรพชิตเท่านั้น แม้ฆราวาส โดยเฉพาะข้าราชการครู หากได้ศึกษาก็จะเป็นประโยชน์ยิ่ง จึงทรงตั้งหลักสูตร “ธรรมศึกษา” (ตรี โท เอก) ขึ้น โดยเริ่มเปิดสอบธรรมศึกษาชั้นตรีครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้พุทธบริษัทฝ่ายฆราวาสได้เข้าถึงหลักธรรมอย่างเป็นระบบ สืบมาจนถึงปัจจุบัน
๕. รายละเอียดหลักสูตรและตำราเรียน (ยุคเริ่มต้นถึง พ.ศ. ๒๔๖๙)
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ได้ทรงพระนิพนธ์ตำราและกำหนดแบบเรียนสำหรับนักธรรมชั้นต่างๆ ไว้เป็นมาตรฐาน ดังนี้:
หลักสูตรนักธรรมชั้นตรี
- เรียงความแก้กระทู้ธรรม: ใช้หนังสือพุทธศาสนสุภาษิต
- ธรรมวิภาค & วินัยบัญญัติ: ใช้หนังสือนวโกวาท
- ตำนาน (พุทธประวัติ): ใช้หนังสือพุทธประวัติ เล่ม ๑-๓ และปฐมสมโพธิ
หลักสูตรนักธรรมชั้นโท
- ธรรมวิภาค: ใช้หนังสือธรรมวิภาค ปริจเฉทที่ ๒
- ตำนาน (อนุพุทธประวัติ): ใช้หนังสืออนุพุทธประวัติ และสังคีติกถา
- วินัยบัญญัติ: ใช้หนังสือวินัยมุข เล่ม ๑-๒
หลักสูตรนักธรรมชั้นเอก
- ธรรมวิภาค: ใช้หนังสือธรรมวิจารณ์, สมถกรรมฐาน, มหาสติปัฏฐานสูตร
- ตำนาน: ใช้หนังสือพุทธานุพุทธประวัติ
- วินัยบัญญัติ: ใช้หนังสือวินัยมุข เล่ม ๓
๖. ระเบียบวิธีสอบและการเชื่อมโยงกับแผนกบาลี
ในยุคเริ่มต้น การสอบนักธรรมมีความเข้มงวดและมีมาตรฐานสูง โดยมีเกณฑ์สังเขปดังนี้:
- วิธีการสอบ: ใช้วิธีการเขียนตอบ (ต่างจากการสอบบาลีในสมัยนั้นที่ใช้การแปลด้วยปากเปล่า)
- เกณฑ์การตัดสิน: เดิมใช้วิธีการตัดสินแบบได้-ตก ในแต่ละวิชา ต่อมาทรงปรับปรุงให้ใช้วิธี “เฉลี่ยคะแนน” เพื่อให้โอกาสแก่ผู้ที่มีความรู้ดีในบางวิชาแต่บกพร่องเล็กน้อยในบางวิชา ให้สามารถสอบผ่านได้หากคะแนนรวมถึงเกณฑ์
- การเชื่อมโยงกับเปรียญธรรม: ทรงจัดระเบียบให้สอดคล้องกัน อาทิ ผู้ที่จะเป็นเปรียญธรรม ๓ ประโยค (ป.ธ.๓) ต้องสอบได้นักธรรมชั้นตรีก่อน และผู้ที่จะสอบเปรียญธรรมสูงขึ้นไป ต้องผ่านนักธรรมชั้นโทและเอกตามลำดับ เพื่อประกันว่าผู้ทรงคุณวุฒิทางบาลีจะมีความรู้ทางธรรมวินัยอย่างถ่องแท้ด้วย
๗. พัดนักธรรม
เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ได้โปรดให้สร้าง “พัดรอง” (พัดหน้านาง) มีตราคณะสงฆ์ (ธรรมจักร) ประทานแก่ผู้สอบนักธรรมได้ ในกาลต่อมาได้ทรงวางระเบียบใหม่ โดยจะพระราชทานเฉพาะแก่พระนักธรรมที่มีพรรษาพ้น ๕ และมีหน้าที่ทางการคณะสงฆ์ เพื่อให้พัดนักธรรมเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศของผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อพระศาสนาอย่างแท้จริง
บทสรุป การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม หรือ “นักธรรม” นับเป็นมรดกทางปัญญาอันล้ำค่าที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงประทานไว้แก่คณะสงฆ์ไทย เป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้พระธรรมวินัยหยั่งรากลึกในสังคมไทยผ่านภาษาที่เข้าใจง่าย สร้างศาสนทายาทที่มีคุณภาพ และยังประโยชน์เกื้อกูลไปสู่พุทธบริษัททั้งปวงตราบจนปัจจุบัน

