การปฏิรูปโครงสร้างและดุลยภาพอำนาจในการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม: บทวิเคราะห์การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ “กศป.”

พัฒนาการของการศึกษาพระปริยัติธรรมได้ก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย เมื่อมีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ กฎหมายฉบับนี้มิได้เพียงแค่ยกระดับสถานะของโรงเรียนพระปริยัติธรรมเท่านั้น แต่ยังถือเป็นการ “รื้อสร้าง” (Deconstruction) โครงสร้างการกำกับดูแลเดิม

โดยถ่ายโอนอำนาจการกำหนดนโยบายจากมหาเถรสมาคม (มส.) ไปสู่ “คณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม (กศป.)” บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวและผลกระทบที่มีต่อระบบการบริหารการศึกษาคณะสงฆ์

๑. บริบทเดิม: อำนาจเบ็ดเสร็จภายใต้ประกาศมหาเถรสมาคม ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๖๒ การจัดการศึกษาของคณะสงฆ์ดำเนินไปภายใต้ ประกาศมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างอำนาจแบบรวมศูนย์อยู่ที่ฝ่ายพุทธจักร ดังนี้:

  • อำนาจนิติบัญญัติและนโยบาย: มหาเถรสมาคม (มส.) เป็นองค์กรสูงสุดที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการออกประกาศ กำหนดหลักเกณฑ์ และระเบียบปฏิบัติทั้งหมด โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์
  • อำนาจบริหาร: การบริหารงานบุคคลและการแต่งตั้งครูสอนพระปริยัติธรรม เป็นอำนาจของเจ้าคณะผู้ปกครองในระดับพื้นที่ (เจ้าคณะกรุงเทพมหานครหรือเจ้าคณะจังหวัด) และหน่วยงานแม่กอง (ธรรม/บาลี) โดยขาดโครงสร้างรองรับที่เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน

๒. บริบทใหม่: “กศป.” ในฐานะองค์กรกำกับดูแลตามกฎหมาย (Statutory Board) พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้สถาปนา “คณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม (กศป.)” ขึ้นเป็นองค์กรหลักระดับนโยบาย (Policy Body) โดยแยกอำนาจการบริหารออกจากสภากรรมการมหาเถรสมาคม เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและการยอมรับทางกฎหมาย (Legal Entity)

จุดเด่นของโครงสร้างใหม่คือ “ดุลยภาพแห่งอำนาจ” (Balance of Power) ซึ่งสะท้อนผ่านองค์ประกอบของคณะกรรมการ กศป. ที่ผสมผสานระหว่างสองภาคส่วน:

  1. ฝ่ายคณะสงฆ์ (ผู้กำหนดทิศทาง): นำโดยสมเด็จพระสังฆราช (ประธานกรรมการ) และผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงในวงการศึกษาสงฆ์ ทำหน้าที่รักษารากฐานและเป้าหมายทางศาสนา
  2. ฝ่ายรัฐกิจ (ผู้สนับสนุนและกำกับมาตรฐาน): นำโดยรัฐมนตรี (รองประธาน) และข้าราชการระดับสูง (ปลัด ศธ., เลขาฯ ก.พ., ผอ.สำนักงบประมาณ ฯลฯ) ทำหน้าที่เชื่อมโยงระบบการศึกษาพระปริยัติธรรมเข้ากับมาตรฐานการศึกษาของชาติและระบบงบประมาณแผ่นดิน

๓. นัยสำคัญของการเปลี่ยนผ่านเชิงระบบ การเปลี่ยนผ่านอำนาจสู่ กศป. ส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อระบบนิเวศการศึกษาพระปริยัติธรรมใน ๓ มิติสำคัญ ได้แก่:

๓.๑ มิติด้านนโยบายและมาตรฐานการศึกษา กศป. ทำหน้าที่เป็น “Regulator” หรือผู้กำกับกฎเกณฑ์ โดยมีอำนาจในการออกข้อบังคับเพื่อจัดตั้งสถานศึกษาและกำกับดูแลคุณภาพ อย่างไรก็ตาม ในด้านหลักสูตรแกนกลาง (ธรรมและบาลี) กฎหมายยังคงสงวนอำนาจการให้ความเห็นชอบไว้ที่มหาเถรสมาคม เพื่อประกันความถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย

๓.๒ มิติด้านการบริหารงานบุคคล (HRM) โครงสร้างใหม่นำไปสู่การจัดตั้ง คณะกรรมการบริหารงานบุคคลการศึกษาพระปริยัติธรรม (กบป.) ภายใต้การกำกับของ กศป. ส่งผลให้เกิดระบบงานบุคคลที่เป็นมาตรฐานสากล:

  • มีการนิยาม “เจ้าหน้าที่การศึกษาพระปริยัติธรรม (จศป.)” ที่ครอบคลุมบุคลากรทุกฝ่าย
  • มีการกำหนดมาตรฐานตำแหน่งและบัญชีเงินเดือนที่ชัดเจน โดยต้องผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง
  • มีการรับรองคุณวุฒิเพื่อประโยชน์ในการบรรจุแต่งตั้ง

๓.๓ มิติด้านความยุติธรรมทางบริหาร กศป. ทำหน้าที่เป็นองค์กรพิจารณาอุทธรณ์ร้องทุกข์ขั้นสุดท้าย (Supreme Administrative Body) สำหรับบุคลากร (จศป.) ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการสั่งลงโทษของผู้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นกลไกคุ้มครองระบบคุณธรรมที่ไม่มีปรากฏชัดเจนในโครงสร้างเดิม

บทสรุป การเปลี่ยนผ่านจาก “ประกาศมหาเถรสมาคม” สู่ “พ.ร.บ. และ กศป.” มิใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงทางเอกสาร แต่คือการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) จากการบริหารจัดการภายในองค์กรสงฆ์ ไปสู่การบริหารจัดการสาธารณะที่มีกฎหมายรองรับ มีมาตรฐานเทียบเคียงระบบราชการ และมีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างรัฐและสงฆ์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อความยั่งยืนของการศึกษาพระปริยัติธรรมในระยะยาว

You may also like...

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *