การปฏิรูปการศึกษาคณะสงฆ์: จุดประสงค์และแรงผลักดันโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
การปฏิรูปการศึกษาคณะสงฆ์โดย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาไทย คำถามสำคัญคือ: พระองค์ทรงมีจุดประสงค์และแรงผลักดันอะไรบ้างในการปฏิรูปครั้งนี้?
๑. แรงผลักดันจากรัฐ: พระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร พ.ศ. ๒๔๕๔
แรงกระตุ้นที่ชัดเจนที่สุดซึ่งนำไปสู่การปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรมคือ พระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ที่รัฐบาลสยามประกาศใช้ในปี พ.ศ. ๒๔๕๔
- เงื่อนไขที่ท้าทายคณะสงฆ์: พระราชบัญญัตินี้ยกเว้นการเกณฑ์ทหารให้แก่พระภิกษุทุกรูป แต่สำหรับสามเณร จะยกเว้นให้เฉพาะผู้ที่ “รู้ธรรม” เท่านั้น เงื่อนไขนี้สร้างคำถามสำคัญกลับมายังคณะสงฆ์ว่า “แค่ไหนถึงเรียกว่ารู้ธรรม?”
- การหาคำตอบ: สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงเป็นประธานในการประชุมเถรสมาคมเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๔ เพื่อกำหนดนิยามของสามเณรผู้รู้ธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อตัดสินว่า “คนเช่นไรจะขอเอาไว้ คนเช่นไรจะยอมปล่อยให้เข้ารับราชการทหาร”
๒. จุดประสงค์เชิงยุทธศาสตร์: การคัดกรองและพัฒนาบุคลากร
พระองค์ทรงใช้โอกาสจากกฎหมายรัฐมาเป็นเครื่องมือในการยกระดับคุณภาพบุคลากรสงฆ์อย่างชาญฉลาด
- คัดเลือกผู้มีคุณภาพ: จุดประสงค์หลักคือ การคัดกรองบุคลากรที่มีคุณภาพไว้สืบต่อพระศาสนา พระองค์ทรงมีพระดำริที่ชัดเจนว่า หากสามเณรรูปใดดูแล้วไม่มีประโยชน์ต่อศาสนา ถึงสึกไปเป็นทหารก็ไม่เสียหาย และควรให้ไปรับใช้ชาติ
- สร้างมาตรฐานที่แท้จริง: เกณฑ์ความรู้ที่กำหนดต้องแสดงถึงความตั้งใจเรียนอย่างแท้จริง โดยต้องใช้เวลาศึกษาไม่ต่ำกว่า ๒ ปี (เทียบเคียงได้กับระยะเวลารับราชการทหาร) เพื่อสร้างระบบที่วัดคุณภาพบุคลากรมากกว่าเพียงการบวชเพื่อรักษาศีลเพียงอย่างเดียว
๓. จุดประสงค์ด้านการศึกษา: การทำให้ธรรมะเข้าถึงได้
พระองค์ทรงวิเคราะห์ข้อจำกัดของระบบการศึกษาดั้งเดิมและเสนอทางออกที่ก้าวหน้า
- แก้ปัญหาหลักสูตรบาลี: ทรงเห็นว่าการบังคับให้สามเณรรู้ภาษาบาลีตั้งแต่เริ่มต้นนั้น “หนักเกินไป” สำหรับผู้เรียนใหม่ และหลักสูตรแบบเดิม “จะจัดในหัวเมืองก็ไม่ได้ทั่วไป” เป็นอุปสรรคต่อการขยายการศึกษา
- เปลี่ยนสู่ “ธรรมะภาษาไทย”: ทรงริเริ่มระบบ “การเรียนธรรมะภาษาไทย” ที่เข้าถึงง่ายกว่า ผ่านหลักสูตร นวกภูมิ (นักธรรมชั้นตรี) ทำให้ภิกษุสามเณรทั่วไปทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม
- เตรียมพร้อมสำหรับชีวิตจริง: ทรงเพิ่มวิชา “คิหิปฏิบัติ” (ข้อปฏิบัติสำหรับคฤหัสถ์) ในหลักสูตร ด้วยพระวิสัยทัศน์ที่มองตามความเป็นจริงว่า ภิกษุสามเณรส่วนใหญ่ “ยังมีคติจะสึกโดยมาก” การเรียนรู้เรื่องการครองเรือนจึงเป็นการเตรียมความพร้อมให้กลับไปเป็นพลเมืองที่ดี
๔. จุดประสงค์ด้านการบริหาร: การสร้างมาตรฐานและระเบียบ
การปฏิรูปนำไปสู่การวางรากฐานระบบที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
- วางโครงสร้างตามพระวินัย: ทรงใช้หลักการในพระวินัยที่จัดภิกษุเป็น ๓ จำพวก พัฒนาเป็นระบบ: นวกภูมิ (ตรี), มัชฌิมภูมิ (โท), และเถรภูมิ (เอก) สร้างลำดับการศึกษาที่ชัดเจน
- บูรณาการความรู้: เชื่อมโยงการศึกษาธรรมะ (นักธรรม) กับภาษาบาลี (เปรียญธรรม) โดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้สอบบาลีชั้นสูงต้องสอบได้นักธรรมชั้นโทก่อน เพื่อสร้างมหาเปรียญที่มีความรู้ครบถ้วน
- รักษาความบริสุทธิ์: กำหนดระบบคัดกรองผ่าน “สนามวัด” ก่อนเข้าสู่สนามหลวง ควบคุมมารยาท และลงโทษการทุจริตอย่างเด็ดขาดโดยสั่ง “โมฆะ” ผลสอบ เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของสนามสอบ
บทสรุป: การปฏิรูปที่ตอบโจทย์หลายมิติ
การปฏิรูปการศึกษาคณะสงฆ์โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ไม่ได้ตอบสนองเพียงแรงกดดันจากกฎหมายรัฐเท่านั้น แต่ทรงใช้โอกาสนี้สร้างระบบการศึกษาที่:
- คัดกรองบุคลากรคุณภาพ สำหรับสืบทอดพระศาสนา
- ทำให้การศึกษาเข้าถึงง่าย ด้วยภาษาไทย
- เตรียมพร้อมผู้เรียน สำหรับทุกสถานการณ์ในชีวิตจริง
- สร้างมาตรฐานและระเบียบ ที่ทันสมัยและยั่งยืน
ทรงพิสูจน์ให้เห็นว่าการศึกษาที่ดีต้อง ตอบโจทย์ทั้งความเป็นจริงของสังคม และรักษาแก่นสาระของพระธรรมวินัย ไว้อย่างสมดุล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบนักธรรมยังคงยืนหยัดและพัฒนาต่อมากว่าหนึ่งศตวรรษ.

