พระไตรปิฎกศึกษา ตอนที่ ๑: เมื่อพราหมณ์ผู้ถือดี ท้าทายพระปัญญาแห่งพระพุทธเจ้า: เรื่อง ‘เวรัญชพราหมณ์’ บทเรียนแห่งความเคารพและปัญญา
บทนำ: ปุจฉา ณ เมืองเวรัญชา
ในบันทึกทางประวัติศาสตร์พุทธศาสนาหมวดพระวินัยปิฎก ปรากฏเหตุการณ์สำคัญ ณ เมืองเวรัญชา เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ในขณะนั้นกิตติศัพท์ของพระองค์ในฐานะพระอรหันต์ผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ และเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ได้ขจรขจายไปทั่วสารทิศ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเสียงสรรเสริญนั้น กลับมีข้อกังขาเกิดขึ้นในใจของ “เวรัญชพราหมณ์” ผู้ซึ่งถือตนในสถานะทางสังคมและวัยวุฒิ เขาได้ยินกิตติศัพท์ในแง่มุมที่ขัดต่อขนบธรรมเนียมเดิม จึงตัดสินใจเดินทางเข้าสู่พุทธสำนักเพื่อท้าทายและสอบทานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ “หลักเกณฑ์แห่งความเคารพ”
๑. วาทะว่าด้วยความเคารพ: ผู้ใดคือผู้ควรแก่การกราบไหว้?
เมื่อเวรัญชพราหมณ์เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ เขาได้เปิดประเด็นด้วยการกล่าวหาเชิงตำหนิว่า พระสมณโคดมมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม โดยไม่แสดงความเคารพ ไม่ลุกรับ หรือไม่เชื้อเชิญพราหมณ์ผู้สูงวัยด้วยอาสนะ ซึ่งในทัศนะของพราหมณ์ถือเป็นการกระทำที่ขาดจารีต
ต่อข้อกล่าวหานี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบด้วยท่าทีที่สงบแต่ทรงพลัง โดยชี้ให้เห็นถึงสัจธรรมความจริงว่า ในโลกทั้งสาม รวมถึงหมู่มาร พรหม และสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีบุคคลใดที่ตถาคตควรทำความเคารพ ลุกรับ หรือเชิญด้วยอาสนะ เนื่องด้วยคุณธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นอยู่เหนือกว่าสรรพสัตว์ทั้งปวง และหากตถาคตพึงกระทำอาการนอบน้อมต่อผู้ใด ศีรษะของผู้นั้นอาจพึงแตกทำลายไป (อันหมายถึงสภาวะที่ไม่สามารถรองรับบารมีธรรมนั้นได้)
๒. ศิลปะแห่งการวาทะ: การตีความนิยามศัพท์ใหม่ (Redefining Concepts)
เมื่อพราหมณ์ยังไม่คลายทิฐิและกล่าววาจาเสียดสีด้วยถ้อยคำต่าง ๆ พระพุทธองค์มิได้ทรงโต้เถียงด้วยอารมณ์ แต่ทรงใช้พระปรีชาญาณยอมรับถ้อยคำเหล่านั้น และ “นิยามความหมายใหม่” ในเชิงธรรมะ เพื่อแสดงถึงสภาวะการหลุดพ้น ดังนี้:
- คนมักไม่ไยดี (Uncaring): ทรงยอมรับว่าจริง เพราะพระองค์ละความไยดีในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสได้สิ้นเชิงแล้ว
- คนไม่มีสมบัติ (Without possessions): ทรงยอมรับว่าจริง เพราะทรงละ “สมบัติ” คือกิเลสเครื่องกังวลและความกำหนัดได้หมดสิ้น
- คนกล่าวการไม่ทำ (Preaches non-action): ทรงยอมรับว่าจริง ในแง่ของการสอนให้ “ไม่ทำ” กายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต
- คนกล่าวความขาดสูญ (Preaches cessation): ทรงยอมรับว่าจริง คือการกล่าวถึงความขาดสูญแห่งราคะ โทสะ และโมหะ
- คนช่างรังเกียจ (Scrupulous): ทรงยอมรับว่าจริง เพราะทรงรังเกียจความชั่วและบาปธรรมทั้งปวง
- คนช่างกำจัด (Destroyer): ทรงยอมรับว่าจริง เพราะทรงแสดงธรรมเพื่อกำจัดราคะ โทสะ และโมหะ
- คนช่างเผาผลาญ (Burner): ทรงยอมรับว่าจริง เพราะทรงสอนให้เผาผลาญกิเลสและอกุศลธรรม
- คนไม่ผุดเกิด (Non-reborn): ทรงยอมรับว่าจริง เพราะทรงทำลายเหตุแห่งการเกิดในภพใหม่ได้อย่างถาวร
การตอบโต้เช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงพระปัญญาธิคุณที่สามารถเปลี่ยนคำตำหนิให้กลายเป็นการประกาศสัจธรรมอันลึกซึ้ง

๓. อุปมาด้วย “ลูกไก่”: นัยแห่งความเป็นพี่ใหญ่ในทางธรรม
เพื่อให้เวรัญชพราหมณ์เข้าใจถึงนิยามของ “ผู้เจริญที่สุด” (The Eldest) อย่างแท้จริง พระพุทธองค์ทรงยกอุปมาเรื่อง “ลูกไก่ในฟองไข่”
ทรงตั้งคำถามว่า ลูกไก่ตัวแรกที่สามารถใช้จงอยปากเจาะเปลือกไข่ออกมาได้อย่างปลอดภัย ควรนับว่าเป็น “พี่” หรือ “น้อง” ซึ่งพราหมณ์ตอบว่าควรเรียกว่า “พี่” เพราะถือกำเนิดก่อน
พระพุทธองค์จึงทรงสรุปความเปรียบเทียบว่า พระองค์ก็เฉกเช่นลูกไก่ตัวนั้น ในโลกที่สัตว์ทั้งหลายยังถูกห่อหุ้มด้วยเปลือกแห่ง “อวิชชา” (ความไม่รู้) พระองค์เป็นผู้แรกที่ทำลายกระเปาะฟองไข่นั้นออกมาได้ และตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ จึงถือเป็น “ผู้เจริญที่สุดและประเสริฐที่สุดในโลก” โดยการทำลายเปลือกแห่งอวิชชานั้น สำเร็จด้วยวิชชา ๓ ประการ ได้แก่:
- บุพเพนิวาสานุสติญาณ: ปัญญาหยั่งรู้ระลึกชาติหนหลัง
- จุตูปปาตญาณ: ปัญญาหยั่งรู้การจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายตามอำนาจกรรม
- อาสวักขยญาณ: ปัญญาหยั่งรู้ความสิ้นไปแห่งอาสวกิเลส
บทสรุป: การเปลี่ยนผ่านสู่สัมมาทิฐิ
จากพราหมณ์ผู้เต็มไปด้วยทิฐิมานะ เมื่อได้รับฟังพุทธพจน์ที่เปี่ยมด้วยเหตุผลและปัญญา เวรัญชพราหมณ์จึงเกิดความกระจ่างแจ้ง ยอมละทิ้งความถือดี และประกาศตนขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต พร้อมทั้งทูลอาราธนาพระพุทธองค์และหมู่สงฆ์ให้จำพรรษา ณ เมืองเวรัญชา
กรณีศึกษาของเวรัญชพราหมณ์ให้บทเรียนสำคัญแก่สังคมว่า ความเคารพที่แท้จริงในทางพุทธศาสนา มิได้วัดกันที่วัยวุฒิหรือชาติกำเนิด แต่ขึ้นอยู่กับ “คุณวุฒิ” และ “ปัญญา” ในการทำลายอวิชชา พระพุทธองค์ทรงพิสูจน์ให้เห็นว่า การเป็น “ผู้ใหญ่” ที่แท้จริง คือผู้ที่สามารถนำพาตนเองให้หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งทุกข์ได้สำเร็จเป็นคนแรกนั่นเอง

