พระไตรปิฎกศึกษา ตอนที่ ๑๔ มหาสีหนาทสูตร: ถอดรหัส ‘ความดี’ ที่แท้จริง เมื่อการทรมานกายไม่ใช่คำตอบ
ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนา “มหาสีหนาทสูตร” (Mahasihanada Sutta) เปรียบเสมือนการคำรามก้องของราชสีห์ ที่ประกาศศักดาแห่งพุทธธรรมอย่างองอาจ ท้าทายค่านิยมและวิถีปฏิบัติดั้งเดิมในยุคนั้น โดยเฉพาะการโต้แย้งกับ “อเจลกัสสปะ” นักบวชเปลือยผู้ยึดมั่นในการทรมานตนเอง บทสนทนานี้ได้สร้างนิยามใหม่ของคำว่า “สมณะ” และ “พราหมณ์” ที่ยังคงทรงพลังและทันสมัยจวบจนปัจจุบัน
๑. ปุจฉา ณ กัณณกถลมิคทายวัน: ข้อกล่าวหาเรื่องการติตบะ
เรื่องราวเริ่มต้น ณ ป่ากัณณกถลมิคทายวัน ใกล้อุชุญญานคร เมื่ออเจลกัสสปะเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ด้วยความเคลือบแคลงสงสัยจากข่าวลือที่ว่า “พระสมณโคดมทรงตำหนิตบะทุกชนิด และกล่าวโทษผู้บำเพ็ญเพียรที่มีความเศร้าหมอง” ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติที่อเจลกัสสปะนับถือ
๒. พุทธพจน์: มุมมองผ่าน ‘ทิพยจักษุ’
พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นอย่างสิ้นเชิง พระองค์มิได้ทรงปฏิเสธการบำเพ็ญตบะแบบเหมาเข่ง แต่ทรงใช้ “ญาณทัสสนะ” (ทิพยจักษุ) จำแนกผลแห่งการกระทำตามความเป็นจริงว่า
- ผู้บำเพ็ญตบะบางคน ตายแล้วไป ทุคติ เพราะใจยังประกอบด้วยอกุศล
- ผู้บำเพ็ญตบะบางคน ตายแล้วไป สุคติ เพราะใจประกอบด้วยกุศล
พระองค์ทรงย้ำหลักการที่สำคัญคือ “วิภัชชวาท” (การจำแนกแยกแยะ) ย่อมสรรเสริญสิ่งที่ควรสรรเสริญ และติเตียนสิ่งที่ควรติเตียน มิใช่การปฏิเสธแบบเหมารวม
๓. บันลือสีหนาท: ท้าพิสูจน์ด้วย ‘อกุศล’ และ ‘กุศล’
จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่การท้าทายให้เหล่าบัณฑิตตรวจสอบความบริสุทธิ์ของศาสดา โดยทรงตั้งเกณฑ์วัดผลเชิงประจักษ์ ๒ ประการ คือ
- การละอกุศลธรรม: ใครเล่าที่ขจัดสิ่งมัวหมองได้หมดจด?
- การสมาทานกุศลธรรม: ใครเล่าที่บำเพ็ญคุณงามความดีได้บริบูรณ์?
พระองค์ทรงประกาศอย่างมั่นใจว่า เมื่อพิจารณาด้วยปัญญาแล้ว วิญญูชนย่อมยอมรับว่าพระพุทธองค์และเหล่าสาวก คือผู้ที่ทำกิจเหล่านี้ได้สมบูรณ์ที่สุด ผ่านเส้นทางสายเอกคือ อริยมรรคมีองค์ ๘
๔. รื้อถอนนิยามเก่า: เปลือกนอก vs แก่นใน
อเจลกัสสปะพยายามยกข้อวัตรปฏิบัติที่เข้มงวดมาอ้างความเป็นสมณะ เช่น การเปลือยกาย การกินอาหารมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด หรือการนอนบนหนาม พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียง “เปลือกนอก” (External Practices) ที่แม้แต่ชาวบ้านหรือทาสก็ทำได้ แต่ไม่ได้ช่วยขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์จากกิเลส
นิยามใหม่ (The New Definition): พระพุทธองค์ทรงบัญญัติว่า ความเป็นสมณะที่แท้จริงวัดกันที่ “สภาวะจิต” กล่าวคือ
“ผู้ใดเจริญ เมตตาจิต อันไม่มีเวร ไม่เบียดเบียน และทำให้แจ้งซึ่ง เจโตวิมุตติ (หลุดพ้นด้วยสมาธิ) และ ปัญญาวิมุตติ (หลุดพ้นด้วยปัญญา) อันสิ้นอาสวะ ผู้นั้นแลเราเรียกว่า สมณะ”
๕. ชัยชนะแห่งธรรม: จากนักบวชเปลือยสู่อรหันต์
บทสนทนานี้จบลงด้วยความศรัทธาอย่างสูงสุดของอเจลกัสสปะ เขาตระหนักได้ว่า “ความดี” ไม่ได้วัดที่ความยากลำบากทางกาย แต่วัดที่อิสรภาพทางใจ เขาจึงขอบวชในพระพุทธศาสนา แม้จะต้องผ่านการอยู่ปริวาส (ช่วงทดลองใจสำหรับเดียรถีย์) ๔ เดือน เขาก็ยินดีรอถึง ๔ ปี แต่ด้วยความตั้งใจจริง พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้บวช และในที่สุด ท่านก็ได้บรรลุเป็น พระอรหันต์
บทสรุปสำหรับคนยุคปัจจุบัน
มหาสีหนาทสูตรสอนให้เราก้าวข้าม “รูปแบบ” ไปสู่ “เนื้อหา” ของความดี ในยุคที่คนมักตัดสินกันที่รูปลักษณ์ภายนอก หรือความเคร่งครัดทางพฤติกรรม (เช่น การกินคลีนสุดโต่ง หรือไลฟ์สไตล์แบบมินิมอลที่ยึดติดวัตถุ) พระพุทธองค์ทรงเตือนสติว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เครื่องวัดความประเสริฐที่แท้จริง แก่นแท้ของชีวิตคือ “เมตตาธรรม” และ “ปัญญา” ที่ชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์ต่างหาก คือความดีที่ยั่งยืนที่สุด

