บทธรรมเทศนา ๓: “ติดกับดักความคิด…ชีวิตไม่ไปไหน”
บทธรรมเทศนา: “ติดกับดักความคิด…ชีวิตไม่ไปไหน”
(พรหมชาลสูตร: ถอดรหัสข่ายดักจับสรรพสัตว์)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
“อิเม โข เต ภิกขะเว ธัมมา คัมภีรา ทุททะสา ทุระนุโพธา สันตา ปะณีตา อะตักกาวะจะรา นิปุณา ปัณฑิตะเวทะนียาติ”
เจริญพรสาธุชนผู้แสวงหาอิสรภาพแห่งจิตวิญญาณทุกท่าน…
วันนี้อาตมาอยากชวนพวกเรามาสำรวจ “โลกโซเชียลมีเดีย” ในใจของเรา โยมเคยสังเกตไหมว่า ทุกวันนี้เราอยู่ท่ามกลางสงคราม… ไม่ใช่สงครามอาวุธ แต่เป็น “สงครามความคิด” เปิดเฟซบุ๊กมาก็เจอคนด่ากันเรื่องการเมือง เปิดทวิตเตอร์ (X) ก็เจอคนแซะกันเรื่องสังคม เปิดติ๊กต็อกก็เจอคอมเมนต์ถกเถียงกันเรื่องความเชื่อ คนนั้นว่าอย่างนี้ถูก คนนี้ว่าอย่างนั้นผิด ฝ่ายหนึ่งชม อีกฝ่ายด่า… วุ่นวายไปหมด
พวกเราเอง บางทีก็เผลอกระโดดลงไปร่วมวงกับเขาด้วย ใช่ไหม? พอมีคนมาชมเรา เราก็ฟูใจ ตัวลอย พอมีคนมาด่าเรา หรือด่าสิ่งที่เราศรัทธา เราก็ของขึ้น หัวร้อน อยากจะพิมพ์ตอบโต้ให้รู้ดำรู้แดง
อาการเหล่านี้แหละโยม ที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า “ปลาที่ติดอยู่ในข่าย” วันนี้อาตมาจะพาโยมไปรู้จักกับ “ข่ายที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาล” ผ่านพระสูตรที่ชื่อว่า “พรหมชาลสูตร” พระสูตรที่จะเฉลยว่า ทำไมเราถึงทุกข์เพราะความคิด และเราจะออกจากข่ายนี้ได้อย่างไร
๑. บทเรียนแรก: ภูมิคุ้มกันดราม่า (Emotional Immunity)
เรื่องมันเริ่มขึ้นในสมัยพุทธกาล ระหว่างการเดินทางไกลจากกรุงราชคฤห์ไปเมืองนาลันทา มีนักบวชต่างศาสนาคู่หนึ่งเดินตามหลังพระพุทธเจ้ามา คนหนึ่งเป็นอาจารย์ ชื่อ สุปปิยะ แกเดินด่าพระพุทธเจ้า ด่าพระธรรม ด่าพระสงฆ์ ตลอดทาง “พระสมณโคดมไม่ดีอย่างนั้น พระธรรมไม่จริงอย่างนี้” แต่อีกคนเป็นลูกศิษย์ ชื่อ พรหมทัต กลับเดินเถียงอาจารย์ตัวเอง “อาจารย์อย่าพูดแบบนั้นสิ พระพุทธเจ้าน่ะประเสริฐนะ พระธรรมยอดเยี่ยมนะ”
โยมลองนึกภาพตาม… พระสงฆ์เดินอยู่ข้างหน้า ข้างหลังมีเสียงคนทะเลาะกัน คนหนึ่งด่า คนหนึ่งชม ดังมาตลอดทาง พอถึงที่พัก พระสงฆ์ทั้งหลายก็จับกลุ่มคุยกันว่า “น่าอัศจรรย์จริงหนอ คนสองคนมองสิ่งเดียวกัน แต่เห็นต่างกันราวฟ้ากับเหว”
พระพุทธเจ้าเสด็จมาได้ยิน จึงตรัสสอน “วิชาภูมิคุ้มกันใจ” ที่ล้ำค่าที่สุดให้แก่พวกเรา พระองค์ตรัสว่า… “ภิกษุทั้งหลาย หากมีใครมาติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์… เธออย่าได้อาฆาต อย่าโทมนัส อย่าน้อยใจ อย่าแค้นใจ เพราะถ้าเธอโกรธ… อันตรายจะเกิดแก่เธอเอง“ และในทางกลับกัน “หากมีใครมาสรรเสริญเยินยอเรา… เธออย่าได้ลิงโลดใจ อย่าดีใจจนเนื้อเต้น เพราะนั่นก็จะเป็น อันตรายแก่เธอเอง เช่นกัน”
ทำไมถึงห้ามโกรธ? เพราะความโกรธจะทำให้เรา “ขาดสติ” จนไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาด่ามันจริงหรือเท็จ ถ้าเขาด่าผิด แล้วเราโกรธ เราจะชี้แจงความจริงด้วยใจที่ขุ่นมัวไม่ได้เลย ทำไมถึงห้ามดีใจ? เพราะคำชมมักเป็น “ยาพิษเคลือบน้ำตาล” มันทำให้เราหลงระเริง จนลืมตรวจสอบตัวเอง
คติธรรมข้อแรก: โยม… ในยุคที่มีแต่คนพร้อมจะด่าและชมเราผ่านหน้าจอ ขอให้โยมมีใจที่ “นิ่ง” เหมือนภูเขา ใครด่า… ให้ฟังว่าเป็นแค่ “เสียง” ถ้าไม่จริงก็ชี้แจงด้วยเหตุผล ใครชม… ก็ให้รู้ว่าเป็นแค่ “ลมปาก” รับรู้แล้ววางลง อย่าฝากหัวใจไว้ที่ปากของใคร หรือที่ปลายนิ้วพิมพ์คีย์บอร์ดของใคร
๒. ศีล: พื้นฐานที่คนทั่วไปมองเห็น (แต่ยังไม่ใช่ที่สุด)
ต่อมา พระพุทธองค์ตรัสว่า คนทั่วไปเวลาเขาจะชมพระพุทธเจ้า เขาชมแค่เรื่อง “ศีล” เขาชมว่า พระพุทธเจ้าไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่โกหก พูดจาไพเราะ กินข้าวมื้อเดียว ไม่ดูการละเล่น ไม่สะสมที่นอนหนานุ่ม… สิ่งเหล่านี้เรียกว่า “จุลศีล” (ศีลเล็กน้อย)
แต่มีศีลหมวดหนึ่งที่อาตมาอยากเน้นให้โยมยุคนี้ฟัง คือ “มหาศีล” พระพุทธเจ้าตรัสว่า สมณพราหมณ์บางพวก ฉันอาหารของชาวบ้านแล้ว แต่ยังเลี้ยงชีพด้วย “เดรัจฉานวิชา” เช่น ทายอวัยวะ ทำนายฝัน ดูฤกษ์ยาม ทำนายว่าจะมีจันทรคราส แผ่นดินไหว ทำนายว่าฝนจะแล้งหรือน้ำจะท่วม บางพวกก็เป็นหมอปลุกเสก รดน้ำมนต์ พ่นไฟ ให้ฤกษ์แต่งงาน ฤกษ์หย่าร้าง
พระพุทธองค์ตรัสชัดเจนว่า “ตถาคตเว้นขาดจากเรื่องเหล่านี้” โยมฟังแล้วสะดุ้งไหม? ยุคนี้สายมูฯ (มูเตลู) กำลังมาแรง เราชอบดูดวง เราชอบแก้กรรม เราชอบขอฤกษ์ขอพร อาตมาไม่ได้บอกว่าห้ามทำ แต่พระพุทธเจ้ากำลังเตือนสติเราว่า “นั่นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์”
ถ้าการดูดวงทำให้คนรวยได้จริง โลกนี้คงไม่มีคนจน ถ้าการสะเดาะเคราะห์ทำให้คนหายป่วยได้จริง โรงพยาบาลคงเจ๊งหมดแล้ว ชาวพุทธที่แท้จริง ต้องเชื่อใน “กฎแห่งกรรม” คือการกระทำ ทำดี… ย่อมได้ดี ขยัน… ย่อมไม่อดตาย มีสติ… ย่อมไม่พลาด นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ไม่ต้องรออ้อนวอนจากเทพองค์ไหน
๓. ข่ายดักปลาแห่งทิฏฐิ (The Trap of Views)
มาถึงส่วนที่สำคัญที่สุด ที่เป็นชื่อของสูตรนี้ คือ “พรหมชาล” (ข่ายอันประเสริฐ) พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่คนทั่วไปไม่เห็น แต่พระองค์เห็น คือ “กับดักทางความคิด” หรือ “ทิฏฐิ”
ในโลกนี้มีความเชื่ออยู่มากมาย (สมัยนั้นมี ๖๒ ลัทธิ) แต่สรุปย่อๆ ให้โยมเข้าใจง่ายๆ เหลือแค่ ๒ กลุ่มใหญ่ๆ ที่พวกเรามักจะติดกัน คือ
กลุ่มที่ ๑: พวกหลงอดีต (สัสสตทิฏฐิ) พวกนี้เชื่อว่า “ตัวกู ของกู เที่ยงแท้แน่นอน” ตายแล้วไปเกิดใหม่ วิญญาณนี้เป็นอมตะ พระเจ้าสร้างโลกมา โลกนี้เที่ยงแท้ คนที่คิดแบบนี้ จะยึดติดกับตัวตนมาก “นี่ศักดิ์ศรีของฉัน” “นี่ประเทศของฉัน” “นี่ศาสนาของฉัน” ใครมาแตะต้องไม่ได้ จะโกรธ จะปกป้อง จะรบราฆ่าฟันกัน นี่คือปลาที่ติดอยู่ในข่ายฝั่งอดีต
กลุ่มที่ ๒: พวกกังวลอนาคต (อุจเฉททิฏฐิ) พวกนี้เชื่อว่า “ตายแล้วสูญ” ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ชีวิตมีแค่ชาตินี้ชาติเดียว จะทำอะไรก็รีบทำ จะกอบโกยอะไรก็รีบกอบโกย คนที่คิดแบบนี้ มักจะใช้ชีวิตประมาท หรือไม่ก็เครียดกังวลว่าตายแล้วจะไปไหน หรือไม่ก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะไม่เชื่อในผลของกรรม นี่คือปลาที่ติดอยู่ในข่ายฝั่งอนาคต
พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบไว้น่าสนใจมาก พระองค์บอกว่า สมณพราหมณ์เจ้าลัทธิทั้งหลาย ที่เถียงกันคอเป็นเอ็น ว่าโลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง ตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ… “ทุกคนล้วนเหมือนปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำลึก และถูกชาวประมงเหวี่ยงแห (ข่าย) ครอบไว้” ปลาเหล่านั้นจะกระโดดโลดเต้น จะเถียงกัน จะแสดงฤทธิ์เดชยังไง… ก็กระโดดอยู่ในแห! ไม่มีทางหนีพ้น ยิ่งดิ้น ยิ่งพันตัว ยิ่งทุกข์
อะไรคือ “แห” ที่ครอบเราไว้? พระพุทธองค์เฉลยว่า แหตาข่ายนั้นถักทอมาจากเส้นใยที่ชื่อว่า “ผัสสะ” (การสัมผัส) เพราะตามีรูปให้ดู หูมีเสียงให้ฟัง ใจมีความคิดให้คิด… เราจึงเกิดความรู้สึก (เวทนา) พอสุข… เราก็อยากได้ (ตัณหา) แล้วเราก็ยึดว่า “นี่ความสุขของฉัน” พอทุกข์… เราก็เกลียด (ตัณหา) แล้วเราก็ยึดว่า “ฉันเกลียดสิ่งนี้”
เราเถียงกันแทบตายเรื่องการเมือง เรื่องสังคม เรื่องดารา… จริงๆ แล้วเราไม่ได้เถียงเพื่อความจริง แต่เราเถียงเพื่อสนอง “ความรู้สึก” ของตัวเอง เรายึดมั่นในความคิดของเรา (อุปาทาน) ว่า “ข้าถูก เอ็งผิด” นั่นแหละ… เรากำลังเป็นปลาที่ดิ้นพล่านอยู่ในข่ายแห่งวัฏสงสาร
๔. ทางออกของผู้รู้แจ้ง (The Freedom)
แล้วพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนในข่ายนี้? พระองค์ตรัสว่า “กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ ขาดเสียแล้ว”
พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนคนที่ยืนอยู่บนฝั่ง มองเห็นแหที่ครอบปลาอยู่ พระองค์รู้เท่าทันว่า…
- อ๋อ… นี่คือความคิด (ทิฏฐิ)
- ความคิดนี้มาจากความรู้สึก (เวทนา)
- ความรู้สึกนี้มาจากการกระทบ (ผัสสะ)
พระองค์ “ไม่เข้าไปยึดมั่น” ในความคิดเห็นใดๆ เลย ไม่ได้บอกว่ายึดฝ่ายซ้าย หรือยึดฝ่ายขวา แต่ทรงรู้ความจริง แล้วปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นนั้น เมื่อไม่ยึดมั่น จิตก็เป็นอิสระ (วิมุตติ) หลุดออกจากตาข่ายแห่งมาร
บทสรุปส่งท้าย: เลิกเป็นปลา แล้วขึ้นมาบนฝั่ง
สาธุชนทั้งหลาย… วันนี้ที่เราได้ฟัง พรหมชาลสูตร อาตมาไม่ได้ต้องการให้โยมจำชื่อทิฏฐิทั้ง ๖๒ ข้อได้ แต่อยากให้โยมจำ “ความรู้สึกตัว” ให้ได้
คราวหน้า… เวลาไถหน้าจอโทรศัพท์ แล้วไปเจอโพสต์ที่ทำให้เรา “ของขึ้น” หรือเจอคอมเมนต์ที่ด่าเรา ให้โยมตั้งสติ แล้วบอกตัวเองว่า… “อ๋อ… ปลาในใจเรากำลังดิ้นอีกแล้ว”
- เรากำลังจะติดกับดัก “ความโกรธ” อีกแล้วใช่ไหม?
- เรากำลังจะติดกับดัก “ทิฏฐิ” ที่ยึดมั่นว่าข้าแน่ ข้าเก่ง อีกแล้วใช่ไหม?
ให้ถอยออกมาดู มองให้เห็นว่า นั่นเป็นแค่ความคิด นั่นเป็นแค่ความรู้สึก อย่ากระโดดลงไปเล่นในเกมของกิเลส อย่าให้ใครมากดปุ่มรีโมทคอนโทรลใจเรา ให้เราโกรธหรือให้เราหลง
ชีวิตที่ประเสริฐ คือชีวิตที่เป็นอิสระ อิสระจากคำคน อิสระจากความเชื่อที่งมงาย และอิสระจากความคิดที่ยึดติดของตัวเอง
ขอให้โยมทุกท่าน จงเป็นผู้มีปัญญา ตัดข่ายแห่งความหลงด้วยมีดดาบแห่งสติ พาตนเองออกจากบ่วงแห่งความทุกข์ พบกับความสงบเย็นที่แท้จริง คือพระนิพพาน ในอนาคตกาลเบื้องหน้านั้นเทอญ.
เจริญพร.

