อนังคณสูตร: รู้ทัน ‘กิเลสดุจเนิน’ เชื้อร้ายที่ซ่อนอยู่ในใจเรา

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)

เจริญพรสาธุชนผู้ใฝ่ธรรมทุกท่าน

วันนี้อาตมาภาพมีเรื่องชวนคุย เป็นเรื่องใกล้ตัวที่พวกเราอาจมองข้ามไป เคยสังเกตไหมว่า บางครั้งเราเป็นทุกข์ ไม่ใช่เพราะขาดแคลน ไม่ใช่เพราะเจ็บป่วย แต่ทุกข์เพราะ “ใจมันร้อน” ร้อนเพราะอยากได้ ร้อนเพราะไม่ได้ดั่งใจ หรือร้อนเพราะเห็นคนอื่นได้ดีกว่า

ความร้อนในใจแบบนี้แหละที่พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า “อังคณะ” หรือ “กิเลสดุจเนิน” คำว่า “เนิน” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงภูเขาหรือเนินดิน แต่มันคือ “สิ่งสกปรก” ที่พอกพูนขึ้นมาปิดบังความผ่องใสของจิตใจเรา เหมือนฝุ่นละอองที่จับบนถาดทองคำ จนมองไม่เห็นเนื้อทองที่แท้จริง

เรื่องราวของ “อังคณะ” นี้ปรากฏอยู่ใน “อนังคณสูตร” ซึ่งเป็นการสนทนาธรรมระหว่างสองยอดขุนพลแห่งกองทัพธรรม คือ ท่านพระสารีบุตร ผู้เลิศด้วยปัญญา และท่านพระมหาโมคคัลลานะ ผู้เลิศด้วยฤทธิ์ ท่านทั้งสองไม่ได้มาคุยเรื่องปาฏิหาริย์เหาะเหินเดินอากาศ แต่มาคุยเรื่องที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า นั่นคือ “การสำรวจใจตัวเอง”

๑. อังคณะ: เนินดินที่ขวางกั้นความสุข

ท่านพระสารีบุตรเปรียบเทียบกิเลสเหล่านี้เหมือน “เนินดิน” ที่ขวางกั้นไม่ให้เราเดินไปข้างหน้าได้สะดวก ลองนึกภาพดูนะโยม… เวลาเราเห็นเพื่อนร่วมงานได้เลื่อนตำแหน่ง แต่เราไม่ได้ ใจมันแป้วไหม? ใจมันร้อนไหม? เวลาเราเห็นคนอื่นได้ของดีๆ ใช้ แต่เราไม่มี ใจมันริษยาไหม? หรือเวลาเราทำดีแทบตาย แต่ไม่มีใครเห็นค่า เราน้อยใจไหม?

ความรู้สึกพวกนี้แหละโยม คือ “อังคณกิเลส” มันคือความอยาก… อยากเด่น อยากดัง อยากมี อยากได้ พอไม่ได้ดั่งใจปุ๊บ… “ความโกรธ” และ “ความไม่แช่มชื่นใจ” ก็ตามมาทันที นี่แหละคือ “เนิน” ที่ขวางกั้นความสุขของเราเอาไว้

๒. คน ๔ ประเภท: ถาดทองคำในมือท่าน เป็นแบบไหน?

ท่านพระสารีบุตรท่านฉลาดมาก ท่านไม่ได้แค่บอกว่ากิเลสคืออะไร แต่ท่านแบ่งคนออกเป็น ๔ ประเภทตาม “ความรู้ตัว” ซึ่งเปรียบเสมือนการดูแลถาดทองคำ ลองมาเช็คตัวเองกันดูนะว่า เราอยู่ในประเภทไหน?

ประเภทที่ ๑: มีกิเลส แต่ไม่รู้ตัว พวกนี้เหมือนคนที่มีถาดทองคำสกปรกอยู่ในมือ และไม่รู้ว่ามันสกปรก ก็เลยไม่คิดจะขัด ไม่คิดจะล้าง แถมยังเอาไปวางไว้ในที่ฝุ่นเยอะอีก ผลคือ… ถาดนั้นก็จะยิ่งดำ ยิ่งมัวหมอง จนแทบดูไม่ออกว่าเป็นทองคำ คนประเภทนี้ คือคนที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกิเลส ไม่คิดจะแก้ไขตัวเอง สุดท้ายชีวิตก็มีแต่ความเศร้าหมอง ตายไปพร้อมกับใจที่ขุ่นมัว

ประเภทที่ ๒: มีกิเลส แต่รู้ตัว นี่คือคนฉลาด! เขารู้ว่าถาดทองคำของตัวเองเปื้อนฝุ่น ก็เลยรีบหาผ้ามาเช็ด รีบขัดสีฉวีวรรณ คนประเภทนี้ คือคนที่รู้ว่าตัวเองยังมีข้อบกพร่อง ยังขี้โมโห ยังขี้อิจฉา แต่เขาไม่ยอมแพ้ เขาพยายามแก้ไข พยายามขัดเกลาตัวเองทุกวัน ผลคือ… จิตใจเขาจะค่อยๆ ผ่องใสขึ้น เหมือนถาดทองคำที่กลับมาแวววาวอีกครั้ง

ประเภทที่ ๓: ไม่มีกิเลส (ชั่วคราว) แต่ไม่รู้ตัว อันนี้น่ากลัวนะโยม… เหมือนคนที่มีถาดทองคำสะอาดอยู่แล้ว แต่ประมาท คิดว่ามันจะสะอาดตลอดไป เลยไม่ดูแลรักษา เอาไปวางทิ้งวางขว้าง คนแบบนี้ พอไปเจอสิ่งยั่วยวน (สุภนิมิต) เข้าหน่อย จิตใจที่เคยสะอาดก็กลับมามัวหมองได้อีก เพราะขาดสติ ขาดปัญญาในการรักษาความดี

ประเภทที่ ๔: ไม่มีกิเลส และรู้ตัว นี่คือยอดคน! เหมือนคนที่มีถาดทองคำสะอาดเอี่ยม และยังหมั่นเช็ดถูดูแลรักษาอย่างดีเยี่ยม ไม่ยอมให้ฝุ่นมาเกาะแม้แต่นิดเดียว คนประเภทนี้ คือพระอริยบุคคลผู้หมดจดแล้ว ท่านรู้ทันกิเลส และไม่ยอมเปิดช่องให้กิเลสกลับมาทำร้ายใจท่านได้อีก

๓. บทสรุป: อย่าปล่อยให้ “เนิน” กลายเป็น “ภูเขา”

สาธุชนทั้งหลาย…

การมีกิเลสไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเรายังเป็นปุถุชน แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าการมีกิเลส คือ “การไม่รู้ว่ามี” และ “การไม่คิดจะแก้”

อนังคณสูตรสอนให้เรารู้ว่า “ความรู้ตัว” (Awareness) คือกุญแจสำคัญที่สุด ถ้าวันนี้โยมรู้ตัวว่ากำลังโกรธ… นั่นคือโยมกำลังหยิบผ้ามาเช็ดถาดทองคำแล้ว ถ้าวันนี้โยมรู้ตัวว่ากำลังอิจฉา… นั่นคือโยมกำลังเริ่มขัดเงาให้ใจตัวเองแล้ว

อย่ารอให้ฝุ่นเกาะจนหนาเตอะ อย่ารอให้เนินดินเล็กๆ กลายเป็นภูเขาลูกใหญ่ที่ขวางกั้นความสุขทั้งชีวิต

เริ่มตั้งแต่วันนี้… เดี๋ยวนี้… หมั่นสำรวจใจตัวเองบ่อยๆ เหมือนส่องกระจกดูหน้า เห็นฝุ่นตรงไหน รีบปัดออก เห็นรอยเปื้อนตรงไหน รีบเช็ดออก

ทำให้ใจของโยมสะอาด ผ่องใส เหมือนถาดทองคำที่ได้รับการดูแลอย่างดี แล้วความสุขที่แท้จริง ความเย็นใจที่แท้จริง จะเกิดขึ้นกับโยมเอง โดยไม่ต้องไปเรียกร้องจากใคร

ขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้มีปัญญา รู้เท่าทันกิเลสเครื่องเศร้าหมอง หมั่นขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใส บริสุทธิ์ เพื่อความเจริญงอกงามในธรรม และเพื่อความพ้นทุกข์โดยชอบ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้.

You may also like...

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *