จูฬทุกขักขันธสูตร: เมื่อ “รู้ทัน” แต่ “ห้ามใจไม่ไหว” (ไขปริศนาทำไมคนดีถึงยังแพ้กิเลส?)

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)

เจริญพรสาธุชนผู้แสวงหาทางพ้นทุกข์ทุกท่าน

วันนี้อาตมาภาพอยากชวนพวกเรามาคุยกันถึง “ความอึดอัดใจ” ที่หลายคนน่าจะเคยเป็น โยมเคยไหม? รู้ทั้งรู้ว่าโกรธแล้วไม่ดี แต่ก็ยังวีนแตก? รู้ทั้งรู้ว่ากินของหวานมากไม่ดี แต่เห็นเค้กทีไรก็อดใจไม่ได้? รู้ทั้งรู้ว่าไถมือถือดึกๆ มันเสียเวลาพักผ่อน แต่ก็นอนไม่หลับถ้าไม่ได้ดู?

เรามักจะโทษตัวเองว่า “ทำไมฉันมันแย่แบบนี้ รู้ธรรมะก็เยอะ ฟังเทศน์ก็บ่อย ทำไมกิเลสมันยังชนะเราได้อีก?”

อย่าเพิ่งท้อแท้ไปโยม… เพราะปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แม้แต่บุคคลระดับ “เจ้าชาย” และเป็นถึง “พระอริยบุคคล” ในสมัยพุทธกาล ก็เคยประสบปัญหานี้มาแล้ว ท่านผู้นั้นคือ “เจ้ามหานามะ” แห่งแคว้นสักกะ

วันนี้อาตมาจะพาพวกเรามาถอดรหัสบทสนทนาที่จริงใจและตรงไปตรงมาที่สุดบทหนึ่งในพระไตรปิฎก ที่ชื่อว่า “จูฬทุกขักขันธสูตร” (Cūḷadukkhakkhandha Sutta) เพื่อค้นหาคำตอบว่า “ทำไมแค่รู้… ถึงยังไม่พอ?” และ “ทำอย่างไรเราถึงจะชนะใจตัวเองได้จริงๆ?”

๑. คำสารภาพของเจ้าชาย: “ผมรู้… แต่ผมทำไม่ได้”

เรื่องราวเริ่มต้นที่นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ เจ้ามหานามะ ซึ่งเป็นพระญาติผู้ใหญ่ของพระพุทธองค์ และว่ากันว่าเป็นพระอริยบุคคลระดับ “พระสกทาคามี” (ผู้จะกลับมาเกิดอีกเพียงครั้งเดียว) ได้เข้าไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าด้วยความสงสัยใจตัวเอง

ท่านทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เข้าใจข้อธรรมที่พระองค์สอนดีว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต… ข้าพระองค์รู้หมดครับ” “แต่ทว่า… (จุดพีคอยู่ตรงนี้โยม) ธรรมเหล่านี้มันก็ยังรบกวนจิตใจของข้าพระองค์อยู่เนืองๆ ข้าพระองค์สงสัยว่า มันยังมีอะไรตกค้างอยู่ในใจหรือ ทำไมข้าพระองค์ถึงยังละมันไม่ได้เด็ดขาด?”

โยมเห็นภาพไหม? นี่คือตัวแทนของพวกเราทุกคน เราคือ “คนดี” ที่รู้ทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติ เรายังแพ้กิเลสอยู่ พระพุทธองค์ทรงตอบเจ้ามหานามะอย่างตรงไปตรงมาว่า: “ดูก่อนมหานามะ ก็เพราะธรรม (กิเลส) นั้นนั่นแหละ ที่ท่านยังละไม่ได้เด็ดขาด ท่านถึงยังต้องอยู่ครองเรือน ท่านถึงยังต้องบริโภคกามอยู่”

พระองค์กำลังชี้ให้เห็นความจริงที่เจ็บปวดแต่จริงแท้ว่า ถ้าเราละกิเลสได้จริง เราคงไม่อยู่ตรงนี้แล้ว การที่เรายังใช้ชีวิตทางโลก ยังมีความอยากได้ อยากมี อยากเป็น แสดงว่าเชื้อกิเลสมันยังมีอยู่ การ “รู้จำ” (Intellectual Understanding) กับการ “รู้แจ้ง” (Realization) จนกิเลสขาดสะบั้น มันคนละเรื่องกัน

๒. กับดักความสุข: ทำไมเราถึงเลิก “เสพติด” ไม่ได้?

แล้วทำไมล่ะ? ทำไมการรู้โทษของมันถึงไม่พอที่จะหยุดยั้งเรา? พระพุทธองค์ทรงให้คำตอบที่เป็น “Key Success Factor” ของการปฏิบัติธรรมไว้ในพระสูตรนี้ พระองค์ตรัสว่า การจะตัดขาดจากกามคุณ (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) ได้นั้น ต้องมีองค์ประกอบ 2 อย่าง คือ

  1. ต้องเห็นโทษของกาม: ต้องมีปัญญาเห็นจริงๆ ว่าความสุขทางโลกมันน้อยนิด แต่มันมีความทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก เหมือนเนื้อติดเศษกระดูกที่สุนัขแทะเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม
  2. ต้องได้ “ความสุขที่เหนือกว่า”: ข้อนี้สำคัญที่สุด! พระองค์ตรัสว่า “ดูก่อนมหานามะ แม้อริยสาวกจะเห็นโทษของกามแล้ว… แต่ถ้าเธอยังไม่ได้บรรลุปีติและสุข (จากสมาธิ/ฌาน) หรือกุศลธรรมที่สงบกว่านั้น… เธอก็จะยังเป็นผู้ไม่เวียนมาในกามไม่ได้เลย”

แปลเป็นภาษาชาวบ้านง่าย ๆ ว่า “คนเราทิ้งความสุขเดิมไม่ได้ ถ้ายังหาความสุขใหม่ที่ดีกว่ามาทดแทนไม่เจอ” จิตมนุษย์ต้องการอาหารคือ “ความสุข” ถ้าโยมบอกให้จิตเลิกกิน “อาหารขยะ” (กามคุณ) แต่โยมไม่มี “อาหารสุขภาพที่อร่อยเลิศรส” (สมาธิ/ความสงบใจ) มาป้อนให้มัน จิตมันก็จะทนหิวได้แป๊บเดียว… แล้วมันก็จะแอบกลับไปกินอาหารขยะเหมือนเดิม!

นี่คือเหตุผลที่ทำไมการ “หักดิบ” หรือการใช้แค่ “ความอดทน” จึงมักล้มเหลวในระยะยาว เพราะใจมันยังโหยหาความสุขอยู่ และมันรู้จักแค่ความสุขทางโลกเท่านั้น

๓. การท้าดวลความสุข: พระเจ้าพิมพิสาร vs พระพุทธเจ้า

เพื่อยืนยันว่า “ความสุขจากความสงบ” นั้นดีกว่า “ความสุขทางโลก” จริง ๆ พระพุทธองค์ทรงเล่าถึงตอนที่คุยกับพวก “นิครนถ์” (นักบวชลัทธิเชน) พวกนิครนถ์มีความเชื่อว่า “ความสุขต้องแลกมาด้วยความทุกข์” ต้องทรมานตน ต้องลำบาก ถึงจะบรรลุธรรม พวกเขาถึงขั้นท้าทายว่า “พระเจ้าพิมพิสาร (ที่เป็นราชา) ต้องมีความสุขกว่าพระสมณโคดมแน่นอน เพราะพระราชามีทุกอย่าง แต่พระสมณโคดมไม่มีอะไรเลย”

พระพุทธองค์ทรงสวนกลับด้วยคำถามที่คมกริบว่า “พวกท่านคิดว่า… พระเจ้าพิมพิสาร จะสามารถนั่งเสวยความสุขนิ่ง ๆ โดยไม่ขยับกาย ไม่พูดจา ได้นาน 7 วัน 7 คืน ได้ไหม?” พวกนิครนถ์ตอบทันที “ไม่ได้แน่นอน” (คนมีกิเลส นั่งเฉยๆ ชั่วโมงเดียวก็อกแตกตายแล้ว ต้องหาเรื่องเที่ยว หาเรื่องกิน)

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “แต่เราตถาคต สามารถนั่งเสวยสุขในสมาธิ โดยไม่ไหวกาย ไม่พูดจา ได้ตลอด 1 วัน… 2 วัน… จนถึง 7 วัน 7 คืน ก็ทำได้สบาย ๆ… ดังนั้น ใครกันแน่ที่อยู่เป็นสุขกว่ากัน?”

นี่คือชัยชนะที่ขาดลอยโยม ความสุขทางโลก (แบบพระราชา) ต้องอาศัยวัตถุ ต้องวิ่งเต้น ต้องรักษา และมัน “ร้อน” แต่ความสุขทางธรรม (แบบพระพุทธเจ้า) ไม่ต้องใช้วัตถุ แค่หยุดใจให้นิ่ง ความสุขก็เอ่อล้นออกมา และมัน “เย็น”

สาธุชนทั้งหลาย…

บทเรียนจากเจ้ามหานามะ สอนอะไรเรา? สอนให้เรารู้ว่า “ลำพังแค่ความคิด… เอาชนะกิเลสไม่ได้” โยมจะอ่านหนังสือธรรมะจนจบพระไตรปิฎก โยมก็อาจจะยังโกรธง่ายเหมือนเดิม ถ้าใจโยมยัง “หิว” ความสุขอยู่

ดังนั้น… ทางรอดของพวกเราในยุคนี้ ไม่ใช่การฝืนทน แต่คือการ “สร้างทางเลือกใหม่ให้จิต” อาตมาอยากขอให้โยมลองจัดเวลา “พักใจ” วันละนิด ไม่ใช่พักด้วยการนอนดูซีรีส์ หรือไถติ๊กต็อก แต่พักด้วยการ “ทำความสงบ”

ลองนั่งนิ่งๆ อยู่กับลมหายใจ หรือเจริญสติในอิริยาบถต่างๆ แรกๆ มันอาจจะจืดชืด เหมือนกินข้าวกล้องไม่ใส่เครื่องปรุง แต่ถ้าโยมทำต่อเนื่อง จนใจมันเริ่มสัมผัสความ “โล่ง โปร่ง เบา” ได้เมื่อไหร่ นั่นแหละ! จิตมันจะได้ลิ้มรส “อาหารทิพย์” เมื่อใจมันอิ่มด้วยความสงบภายใน… มันจะเริ่มมองความสุขภายนอกว่า “ไร้สาระ” มันจะเลิกวิ่งตามแสงสี เลิกหิวโหยการยอมรับ เลิกดิ้นรนอยากได้อยากมี เพราะมันรู้แล้วว่า “ของดีที่สุด… อยู่ที่ใจเรานี่เอง”

อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นคนที่รอบรู้แต่ทฤษฎี แต่จงลงมือปฏิบัติ เพื่อให้ใจได้สัมผัสรสชาติแห่งวิมุตติรส แล้ววันหนึ่ง… โยมจะตอบตัวเองได้เต็มปากว่า “ความสุขที่แท้จริง หน้าตามันเป็นอย่างนี้นี่เอง”

ขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้มีปัญญาเห็นภัยในกาม และพบความสุขที่สงบเย็นยิ่งกว่า เพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงด้วย เทอญ.

เจริญพร.

You may also like...

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *