พระไตรปิฎกศึกษา ตอนที่ ๒: วิกฤตการณ์เวรัญชา: จากทุพภิกขภัยสู่ปฐมบทแห่งแนวคิดการบัญญัติพระวินัยเพื่อความยั่งยืน
บทนำ: ความย้อนแย้ง ณ เมืองเวรัญชา
ภายหลังจากที่ “เวรัญชพราหมณ์” ได้ละทิฐิมานะและปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ เขาได้กราบทูลอาราธนาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยคณะสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ให้จำพรรษา ณ เมืองเวรัญชา เหตุการณ์นี้ดูประหนึ่งจะเป็นนิมิตหมายอันดีในการเผยแผ่ศาสนธรรม แต่ในทางกลับกัน ฤดูฝนดังกล่าวกลับกลายเป็นช่วงเวลาแห่งบททดสอบครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์พุทธกาล เมื่อเมืองเวรัญชาต้องเผชิญกับภาวะ “ทุพภิกขภัย” (Famine) หรือวิกฤตการณ์ขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง จนนำไปสู่ประเด็นการถกเถียงเรื่องการใช้อิทธิฤทธิ์และการวางรากฐานความยั่งยืนของพุทธจักร
๑. สภาวะข้าวยากหมากแพงและการดำรงสมณสารูป
ในช่วงเวลานั้น สภาพเศรษฐกิจของเมืองเวรัญชาตกต่ำถึงขีดสุด ประชาชนประสบความยากลำบากในการดำรงชีพ ถึงขั้นที่พระวินัยปิฎกบันทึกไว้ว่ามี “กระดูกคนตายขาวเกลื่อน” และระบบอาหารต้องใช้ระบบสลาก (Rationing) ทำให้พระภิกษุสงฆ์ไม่สามารถออกบิณฑบาตเพื่อยังชีพได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม การดำรงอยู่ของคณะสงฆ์ได้รับความอนุเคราะห์จากกลุ่ม “พ่อค้าม้า” ชาวอุตตราปถะจำนวน ๕๐๐ คน ที่เดินทางมาพักแรม พ่อค้าเหล่านี้ได้แบ่งปัน “ข้าวแดง” (ข้าวสารเหนียวที่นึ่งสุกแล้วสำหรับเลี้ยงม้า) ถวายแก่พระภิกษุรูปละหนึ่งแล่ง (ประมาณ ๑ ทะนาน) พระภิกษุจำต้องนำข้าวแดงนั้นมาลงครกโขลกเพื่อฉันประทังชีวิต แม้กระทั่งพระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก ก็ยังต้องบดข้าวแดงถวายแด่พระพุทธองค์
เหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงสดับเสียงครกและตรัสสรรเสริญภิกษุทั้งหลายว่า “เป็นสัตบุรุษ ชนะวิเศษแล้ว” นั้น สะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาสำคัญว่า แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด การรักษาไว้ซึ่งจิตใจที่เข้มแข็ง การขูดเกลากิเลส และการไม่ตกเป็นทาสแห่งความหิวกระหาย (ตัณหา) ถือเป็นชัยชนะที่แท้จริงของสมณะ
๒. สัมพันธภาพระหว่างอิทธิปาฏิหาริย์กับพุทธจริยธรรม
ท่ามกลางวิกฤตนี้ พระมหาโมคคัลลานะ ผู้เป็นเลิศทางด้านอิทธิฤทธิ์ ได้กราบทูลเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการเหนือธรรมชาติ (Supernatural Intervention) สองประการ:
- การพลิกแผ่นดิน: เพื่อนำ “ง้วนดิน” ที่มีรสโอชาเหมือนน้ำผึ้งหวี่เบื้องล่างขึ้นมาให้ภิกษุฉัน
- การบิณฑบาตข้ามทวีป: การพาคณะสงฆ์ไปบิณฑบาตยังอุตตรกุรุทวีป
พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธข้อเสนอทั้งสองด้วยเหตุผลทางจริยธรรมและความเป็นจริง (Pragmatism):
- ประเด็นจริยธรรม: การพลิกแผ่นดินจะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน ซึ่งขัดต่อหลักเมตตาธรรม และอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดหรือวิบัติแก่สัตว์เหล่านั้น
- ประเด็นความเท่าเทียม: หากใช้อิทธิฤทธิ์พาไปบิณฑบาต ภิกษุผู้ไม่มีฤทธิ์จะไม่สามารถติดตามไปได้
กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า ในทางพุทธศาสนา “ปัญญาและพระมหากรุณาธิคุณ” ย่อมอยู่เหนือกว่า “อิทธิฤทธิ์” เสมอ การแก้ปัญหาใด ๆ จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่นและความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติของคนหมู่มาก
๓. ด้ายแห่งวินัย: ปรัชญาความยั่งยืนของศาสนา
ในระหว่างความเงียบสงบของการจำพรรษา พระสารีบุตรได้พิจารณาถึงอายุขัยของพระพุทธศาสนาในอดีตและเกิดข้อสงสัยว่า เหตุใดศาสนาของพระพุทธเจ้าบางพระองค์จึงดำรงอยู่ได้นาน ขณะที่บางพระองค์กลับเสื่อมสูญไปอย่างรวดเร็ว
พระพุทธองค์ทรงวิสัชนาด้วย “อุปมาด้ายร้อยดอกไม้”:
- ศาสนาที่ไม่ยั่งยืน: เปรียบเสมือนดอกไม้กองรวมกันบนกระดานโดยไร้ด้ายร้อยรัด เมื่อลมพัดมา ดอกไม้ย่อมกระจัดกระจาย (สาเหตุเกิดจากการไม่แสดงธรรมโดยพิสดาร และไม่บัญญัติสิกขาบท)
- ศาสนาที่ยั่งยืน: เปรียบเสมือนดอกไม้ที่ถูกร้อยด้วยด้ายอย่างดี ลมย่อมไม่อาจทำให้กระจัดกระจายได้ (เกิดจากการบัญญัติพระวินัยและปาติโมกข์)
๔. นิติศาสตร์พุทธศาสนา: กาลเวลาแห่งการบัญญัติกฎ
เมื่อพระสารีบุตรทูลขอให้พระองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทเพื่อความมั่นคงแห่งศาสนา พระพุทธองค์กลับทรงยับยั้งไว้ โดยให้เหตุผลในเชิงนิติศาสตร์ว่า กฎหมายหรือวินัยจะบัญญัติขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุแห่งความเสื่อมเสีย (อาสวัฏฐานิยธรรม) ปรากฏขึ้นในหมู่สงฆ์ก่อน ซึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดอาสวะ ได้แก่:
- ความเป็นหมู่ใหญ่โดยอายุพรรษา (รัตตัญญูมหัตตะ)
- ความเป็นหมู่ใหญ่โดยปริมาณ (เวปุลลมหัตตะ)
- ความเป็นหมู่ใหญ่โดยลาภสักการะ (ลาภัคคมหัตตะ)
ในขณะนั้น สงฆ์ยังมีความบริสุทธิ์ (รูปที่มีคุณธรรมน้อยที่สุดยังเป็นพระโสดาบัน) จึงยังไม่ใช่กาลเวลาที่เหมาะสมในการตรากฎระเบียบ
บทสรุป
เหตุการณ์จำพรรษาที่เมืองเวรัญชา จึงมิใช่เพียงเรื่องราวความอดทนต่อความอดอยาก แต่เป็นบทบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ ตั้งแต่การวางท่าทีต่อวิกฤตด้วยปัญญา การปฏิเสธการแก้ปัญหาด้วยปาฏิหาริย์ จนถึงการตกผลึกทางความคิดเรื่องโครงสร้าง “พระวินัย” ในฐานะกลไกหลักที่จะรักษาเสถียรภาพและความยั่งยืนของพุทธศาสนาสืบไป

