บทธรรมเทศนา ๔: “เปลือกสวย หรือ แก่นใส… อะไรคือค่าของคน?”

บทธรรมเทศนา: “เปลือกสวย หรือ แก่นใส… อะไรคือค่าของคน?”

(โสณทัณฑสูตร: ถอดรหัส High Value Human ฉบับพุทธกาล)

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)

“สีละวโต ปัญญา, ปัญญะวะโต สีลัง, สีละปัญญานัญจะ ปะนะ โลกัสมึ อัคคะมักขายะตีติ”

เจริญพรสาธุชนผู้มีปัญญาแสวงหาแก่นแท้ของชีวิตทุกท่าน…

วันนี้อาตมาอยากชวนพวกเรามาตั้งคำถามกับตัวเองสักนิด ก่อนที่เราจะเริ่มฟังธรรม โยมลองมองดูโลกใบนี้… โลกที่เรากำลังวิ่งตามกระแสสังคมอย่างบ้าคลั่ง โลกที่ตัดสินคนจากยอดผู้ติดตามในโซเชียลมีเดีย โลกที่วัดความสำเร็จจากยี่ห้อกระเป๋าที่ถือ รถที่ขับ หรือใบปริญญาที่แปะอยู่ข้างฝา โลกที่พยายามนิยามคำว่า “High Value” หรือ “คนเลอค่า” ด้วยเปลือกนอกที่ฉาบฉวย

คำถามคือ… “จริงๆ แล้ว ค่าของคน วัดกันที่ตรงไหน?”

ถ้าเราตอบว่า วัดกันที่ความรวย ความหล่อความสวย หรือชาติตระกูล อาตมาขอบอกว่า โยมกำลังคิดเหมือนคนกลุ่มหนึ่งในสมัยพุทธกาลเปี๊ยบเลย และวันนี้ อาตมาจะพาโยมย้อนเวลากลับไปฟังการ “ดีเบต” ครั้งประวัติศาสตร์ ระหว่างพระพุทธเจ้า กับ “ซูเปอร์สตาร์” แห่งวงการศาสนาพราหมณ์ เพื่อค้นหาคำตอบสุดท้ายว่า จริงๆ แล้วเราควรวัดค่าของคน (และค่าของตัวเราเอง) ที่ตรงไหนกันแน่


๑. ชายผู้เพียบพร้อม กับกำแพงแห่งอัตตา

เรื่องราวมันเกิดขึ้นที่นครจัมปา แคว้นอังคะ มีพราหมณ์ท่านหนึ่งชื่อว่า “โสณทัณฑะ” โยมต้องจินตนาการภาพโสณทัณฑะใหม่นะ อย่าเพิ่งนึกว่าเป็นตาแก่เชยๆ โสณทัณฑะคนนี้ ถ้าเทียบกับยุคนี้ คือ “มหาเศรษฐีระดับเจ้าสัว” บวกกับ “ศาสตราจารย์ด็อกเตอร์” และมีความเป็น “อินฟลูเอนเซอร์” ระดับท็อป เขารวยมาก เพราะพระราชาพระราชทานเมืองให้ครอง เขาเรียนเก่งมาก จบไตรเพท (เทียบเท่าปริญญาเอกหลายใบ) เขาดูดีมาก ผิวพรรณผ่องใส และที่สำคัญ ชาติตระกูลดีมาก สืบสายเลือดบริสุทธิ์มา ๗ ชั่วโคตร เรียกว่า “Perfect” ไม่มีที่ติ

วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จมาที่เมืองนี้ โสณทัณฑะได้ยินกิตติศัพท์ของพระพุทธเจ้า ก็เกิดความศรัทธาลึกๆ อยากจะไปเข้าเฝ้า แต่โยมเอ๋ย… “หัวโขน” มันหนัก พอโสณทัณฑะขยับตัวจะไปหาพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ ลูกศิษย์ลูกหาและพราหมณ์บริวาร ๕๐๐ คน รีบเข้ามาห้ามทันที พวกเขาบอกว่า “ท่านอาจารย์! ท่านจะไปหาพระสมณโคดมทำไม? ท่านน่ะเหนือกว่าตั้งเยอะ ทั้งรวยกว่า แก่กว่า ความรู้แน่นกว่า ชาติตระกูลสูงกว่า พระสมณโคดมต่างหากที่ต้องมาหาท่าน!”

โยมเห็นไหม? นี่คือ “กับดักทางสังคม” ที่พวกเราหลายคนก็เจอ บางทีเรารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดี อะไรคือความถูกต้อง แต่เราติดที่ “อีโก้” ติดที่ “ภาพลักษณ์” ติดที่คำคนรอบข้างยุยงว่า “เราเจ๋งกว่า เราแน่กว่า ทำไมต้องลดตัวลงไป” โสณทัณฑะเกือบจะพลาดโอกาสทองของชีวิต เพราะมัวแต่แบกหัวโขนอันนี้ไว้ แต่โชคดีที่ท่านยังมีปัญญา ท่านรู้ว่า “ของจริง ย่อมรู้ค่าของคนจริง” ท่านจึงสลัดคำทัดทาน แล้วตัดสินใจไปเฝ้าพระพุทธเจ้าจนได้


๒. การสัมภาษณ์งานที่โหดหินที่สุดในโลก

เมื่อไปถึง… บรรยากาศตึงเครียดมาก พราหมณ์ ๕๐๐ คนจ้องเขม็ง อยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าจะพูดยังไงให้โสณทัณฑะเสียหน้า หรือโสณทัณฑะจะข่มพระพุทธเจ้าได้ไหม แต่พระพุทธองค์ทรงฉลาดล้ำลึก ทรงไม่โต้เถียง ไม่หักหน้า แต่ทรงเริ่มด้วย “คำถาม”

พระพุทธองค์ตรัสถามโสณทัณฑะว่า: “ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลต้องมีคุณสมบัติกี่ข้อ พวกท่านถึงจะยอมรับว่าเป็น ‘พราหมณ์’ (ผู้ประเสริฐ)?”

โสณทัณฑะตอบอย่างมั่นใจ (เพราะท่องมาจนจำขึ้นใจ) ว่าต้องมี ๕ ข้อ: ๑. อุภโตสุชาต: ชาติตระกูลต้องดี DNA ต้องเป๊ะ (Nepotism) ๒. มนต์: ต้องจบปริญญา ต้องรู้คัมภีร์ (Education) ๓. วรรณะ: ต้องหล่อ ต้องสวย บุคลิกดี (Appearance) ๔. ศีล: ต้องมีความประพฤติดี (Morality) ๕. ปัญญา: ต้องฉลาด มีความรู้ (Wisdom)

ฟังดูดีไหมโยม? ครบถ้วนสมบูรณ์แบบตามค่านิยมสังคมเป๊ะๆ แต่พระพุทธเจ้า… ท่านคือนักปฏิวัติทางความคิด ท่านเริ่มกระบวนการ “คัดกรองความจริง” ทันที


๓. พิธี “ลอกคราบ” จอมปลอม (The Elimination)

พระพุทธเจ้าเริ่มถามเจาะลึกทีละข้อ: “พราหมณ์… ถ้าตัดข้อ ‘รูปร่างหน้าตา’ ออก คนนั้นยังเป็นคนประเสริฐได้ไหม? ถ้าเขาขี้เหร่ แต่เขาเป็นคนดีและเก่ง?” โสณทัณฑะคิดนิดนึง แล้วตอบว่า “ได้พระเจ้าข้า… รูปร่างมันก็แค่เปลือกนอก” (ตัดไป ๑ เหลือ ๔)

พระพุทธเจ้าถามต่อ: “แล้วถ้าตัดข้อ ‘มนต์’ (ความรู้ในตำรา/ปริญญา) ออกล่ะ? ถ้าเขาไม่ได้จบนอก ไม่ได้ท่องคัมภีร์เก่ง แต่เขาเป็นคนดีและมีปัญญาแก้ปัญหาชีวิตได้ ยังนับว่าเป็นผู้ประเสริฐไหม?” โสณทัณฑะเริ่มลังเล เพราะนี่คืออาชีพของเขา แต่ด้วยความสัตย์จริง ท่านตอบว่า “ได้พระเจ้าข้า… ปริญญามันก็แค่กระดาษรับรอง” (ตัดไปอีก ๑ เหลือ ๓)

พระพุทธเจ้าถามข้อสำคัญที่สุด: “แล้วถ้าตัดข้อ ‘ชาติตระกูล’ ออกล่ะ? ถ้าเขาเป็นลูกชาวนา ลูกคนจน ไม่ได้มีนามสกุลดัง แต่เขาเป็นคนดีและมีปัญญา… เขาจะเป็นผู้ประเสริฐได้ไหม?”

ตรงนี้แหละโยม… พราหมณ์ ๕๐๐ คนข้างหลังฮือฮากันใหญ่! “ไม่ได้นะท่านอาจารย์! ท่านกำลังลบหลู่บรรพบุรุษ ท่านกำลังทำลายระบบวรรณะของเรา!” เสียงคัดค้านดังระงม เหมือนชาวเน็ตที่กำลังรุมทัวร์ลง แต่โสณทัณฑะ… ในนาทีนั้น ท่านเกิดความกล้าหาญทางจริยธรรม ท่านยกมือห้ามลูกศิษย์ แล้วหันไปกราบทูลพระพุทธเจ้าด้วยตัวอย่างที่เฉียบคมมาก

โสณทัณฑะชี้ไปที่หลานชายหนุ่มรูปหล่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ชื่อ อังคกะ “พระโคดมผู้เจริญ… ดูหลานชายข้าพระองค์สิ หล่อเหล่า ชาติตระกูลดี จบการศึกษาสูง… แต่สมมติว่า… ถ้าอังคกะหลานของข้าพเจ้า กลายเป็นคนขี้เมา ไปฆ่าคนตาย ไปขโมยของเขา หรือไปเป็นชู้กับลูกเมียชาวบ้าน…”

“ถามว่า… ความหล่อช่วยอะไรได้ไหม? ชาติตระกูลช่วยล้างผิดได้ไหม? ปริญญาที่จบมาช่วยให้เขาไม่เลวได้ไหม?” คำตอบคือ “ไม่ได้เลย”

ดังนั้น โสณทัณฑะจึงประกาศก้องต่อหน้าธารกำนัลว่า: “ข้าพระองค์ขอยืนยัน… ตัดทิ้งได้หมด! ชาติตระกูล รูปร่าง ปริญญา… เหลือไว้แค่ ๒ อย่างที่ตัดทิ้งไม่ได้ คือ ศีล และ ปัญญา


๔. สมการชีวิตใหม่: ศีล + ปัญญา = ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

สาธุชนทั้งหลาย… นี่คือจุดพีคของพระสูตรนี้ และเป็นคติธรรมที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเราในยุคนี้ พระพุทธเจ้าทรงรับรองคำตอบของโสณทัณฑะ และทรงอุปมาเปรียบเทียบไว้อย่างไพเราะว่า:

“ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ และศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์… เปรียบเหมือนเอาฝ่ามือล้างฝ่ามือ หรือเอาเท้าล้างเท้า”

โยมลองนึกภาพตามนะ… มือซ้ายล้างมือขวา มือขวาล้างมือซ้าย มันถึงจะสะอาดได้ทั่วถึง ศีล ก็เหมือนมือซ้าย ปัญญา ก็เหมือนมือขวา คนเราจะดีได้ ต้องมีทั้งสองอย่างนี้ประกอบกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

ทำไมถึงต้องมีคู่กัน? อาตมาจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ:

๑. ถ้ามี “ปัญญา” แต่ขาด “ศีล” จะเป็นยังไง? คนยุคนี้ฉลาดเยอะนะโยม เก่งคอมพิวเตอร์ เก่งกฎหมาย เก่งธุรกิจ แต่ถ้าเขาไม่มีศีล… ความเก่งของเขาจะน่ากลัวมาก เขาจะเป็น “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่เขียนสคริปต์หลอกคนได้แนบเนียน เขาจะเป็น “นักธุรกิจหน้าเลือด” ที่เอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่ผิดกฎหมาย เขาจะเป็น “แฮกเกอร์” ที่ขโมยเงินคนอื่นได้เป็นล้านในพริบตา คนแบบนี้สังคมเรียกว่า “โจรใส่สูท” หรือ “ฉลาดแกมโกง” อันตรายที่สุด!

๒. ถ้ามี “ศีล” แต่ขาด “ปัญญา” จะเป็นยังไง? คนประเภทนี้เป็นคนดี ใจบุญสุนทาน ใครบอกอะไรก็เชื่อ แต่ถ้าขาดปัญญา… ความดีของเขาจะกลายเป็นความอ่อนแอ เขาจะถูกหลอกง่าย เขาจะงมงาย ใครชวนลงทุนแชร์ลูกโซ่ก็หมดตัว ใครบอกให้ทำพิธีแก้กรรมราคาแพงก็ทำ คนแบบนี้สังคมเรียกว่า “คนดีที่โง่เขลา” หรือ “เหยื่อ” อยู่ในโลกนี้ลำบาก!

ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า เราต้องมีทั้งสองอย่าง

  • ศีล คือ เกราะป้องกัน ไม่ให้เราไปเบียดเบียนคนอื่น และทำให้ใจเราสะอาด
  • ปัญญา คือ ดาบอาวุธ ที่เอาไว้ตัดกิเลส ตัดความโง่ และพาเราออกจากปัญหา

คนที่มีทั้งศีลและปัญญา คือ “High Value Human” ตัวจริง ไม่ต้องมียศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ต้องนามสกุลดัง แต่เขาจะไปอยู่ที่ไหน ก็จะนำความเจริญไปที่นั่น เขาจะไม่โกงใคร และเขาก็จะรู้ทันคนโกง เขาจะมีความสุขสงบเย็น และเขาก็จะแก้ปัญหาชีวิตเก่ง


๕. บทสรุป: เลิกหลงเปลือก หันมาสร้างแก่น

โยมทั้งหลาย… วันนี้เราได้ฟังเรื่องราวของโสณทัณฑะแล้ว อาตมาอยากฝากการบ้านให้โยมกลับไปทำ ๓ ข้อ เพื่อยกระดับชีวิตตัวเองให้เป็น “ผู้ประเสริฐ” ที่แท้จริง:

๑. เลิกวัดค่าคน (และตัวเอง) ที่เปลือก: หยุดน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราเกิดมาจน เราไม่สวย หรือเราเรียนไม่สูง หยุดดูถูกคนที่ด้อยกว่าเรา ให้มองคนให้ทะลุถึง “หัวใจ” และ “การกระทำ” ของเขา นับถือคนที่ความดี ไม่ใช่นับถือคนที่รถหรู

๒. สร้าง “ศีล” ให้เป็นนิสัย: ศีล ๕ ไม่ใช่ข้อห้าม แต่เป็น “มาตรฐานความเป็นมนุษย์” ลองตั้งใจดูสิ… วันนี้ฉันจะไม่เบียดเบียนใคร ไม่โกหก ไม่เอาเปรียบใคร ความซื่อสัตย์คือสกุลรุนชาติที่สร้างเองได้ ไม่ต้องรอพ่อแม่ให้มา

๓. สร้าง “ปัญญา” ให้เป็นอาวุธ: หมั่นหาความรู้ ทั้งทางโลกและทางธรรม ฝึกสติ ฝึกสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญารู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง เมื่อมีปัญหาเข้ามา อย่าใช้แต่อารมณ์ ให้ใช้ปัญญาแก้ไข

ถ้าโยมทำได้ตามนี้… โยมคือ “พราหมณ์” ในความหมายของพระพุทธเจ้า โยมคือผู้ประเสริฐที่โลกต้องการ และไม่ว่าโยมจะอยู่ที่ไหน ค่าของโยมจะเปล่งประกายออกมา โดยไม่ต้องพยายามป่าวประกาศให้ใครรู้

เหมือนที่โสณทัณฑะกล่าวสรุปไว้ว่า “ศีลและปัญญา เป็นยอดในโลก” ขอให้พวกเราจงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยยอดแก้วมณีทั้งสองประการนี้ เพื่อความงดงามแห่งชีวิต และเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เทอญ.

เจริญพร.


เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

You may also like...

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *