วัตถูปมสูตร: ผ้าขาวกับจิตที่เปรอะเปื้อน – ถอดรหัส ๑๖ คราบสกปรกที่ซ่อนอยู่ในใจคุณ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
เจริญพรสาธุชนผู้แสวงหาความสะอาดบริสุทธิ์แห่งจิตใจทุกท่าน
วันนี้อาตมภาพมีคำถามสั้นๆ ให้พวกเราลองถามตัวเอง… “วันนี้โลกของโยมสีอะไร?” บางวันเราตื่นมา รู้สึกว่าโลกนี้ช่างสดใส น่าอยู่ ผู้คนน่ารัก แต่บางวัน ตื่นมาก็รู้สึกว่าโลกนี้มันหม่นหมอง ขวางหูขวางตาไปหมด ทั้งที่พระอาทิตย์ก็ดวงเดิม ท้องฟ้าก็ผืนเดิม คนรอบข้างก็คนเดิม… แล้วทำไม “สี” ของโลกในสายตาเราถึงเปลี่ยนไป?
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ “โลก” หรอกโยม แต่อยู่ที่ “เลนส์” ที่เราใช้มองโลกต่างหาก และในทางพุทธศาสนา เลนส์ที่ว่านั้นก็คือ “จิตใจ” ของเรานั่นเอง
พระพุทธองค์ทรงเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง และได้ทรงแสดงไว้ในพระสูตรที่ชื่อว่า “วัตถูปมสูตร” (Vatthūpama Sutta) หรือสูตรที่ว่าด้วยการเปรียบเทียบจิตเหมือนกับ “ผ้า” วันนี้อาตมาจะพาพวกเรามาทำความสะอาดเลนส์ มาซักผ้าที่ชื่อว่า “จิตใจ” นี้ให้ขาวสะอาด เพื่อให้เรามองเห็นโลกตามความเป็นจริง และมีความสุขได้อย่างที่ควรจะเป็น
๑. ทฤษฎีผ้าเปื้อนสี: ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี?
พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบไว้อย่างเห็นภาพ และเป็นวิทยาศาสตร์มาก พระองค์ตรัสว่า ลองจินตนาการถึง “ผ้าที่สกปรก” ผ้าที่เปื้อนคราบโคลน คราบน้ำมัน หรือคราบไคลดูนะ ถ้าเราเอาผ้าผืนนั้นหย่อนลงไปในถังสี(ย้อมผ้า)ที่สวยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสีทอง สีชมพู หรือสีฟ้าคราม โยมคิดว่าผ้านั้นจะออกมาสวยไหม? …แน่นอนว่าไม่ สีมันจะออกมาตุ่นๆ หม่นๆ ด่างพร้อย ดูไม่ได้เลย
นี่คือกฎข้อแรก “เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคติ (ทางชั่ว/ความทุกข์) เป็นอันหวังได้” มันหมายความว่า ถ้าพื้นฐานจิตใจของเรายังเต็มไปด้วยความขุ่นมัว ต่อให้เราพยายามจะไปทำบุญ สร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี หรือพยายามไขว่คว้าความสำเร็จ (เหมือนการย้อมสีลงไป) ผลลัพธ์ที่ออกมา ชีวิตมันก็จะดู “ด่างพร้อย” ความสุขที่ได้มาก็จะไม่สุด ความสำเร็จก็จะปนไปด้วยความระแวง ความสัมพันธ์ก็จะเคลือบแคลง เพราะ “พื้นผ้า” ของเรามันยังไม่สะอาด
ในทางกลับกัน ถ้าผ้าของเรา “ขาวสะอาด” บริสุทธิ์ จะเอาไปย้อมสีอะไร สีนั้นก็จะสดใส เปล่งปลั่ง งดงาม “เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติ (ทางดี/ความสุข) เป็นอันหวังได้” คนที่จิตสะอาด ทำอะไรก็เจริญ หยิบจับอะไรก็เป็นกุศล พูดอะไรคนก็เชื่อถือ เพราะพื้นฐานมันดี
๒. The Dirty Dozen Plus 4: เช็กลิสต์ ๑๖ คราบสกปรกในใจ
ทีนี้ ปัญหาโลกแตกก็คือ… เรามักจะ “ไม่รู้ตัว” ว่าผ้าของเราเปื้อน เรามักโทษคนอื่นว่า “เธอทำสีหกใส่ฉัน” หรือ “โลกนี้มันสกปรก” แต่พระพุทธองค์ทรงให้เราหันกลับมาดูที่ตัวเอง ทรงลิสต์รายการ “อุปกิเลส ๑๖” ซึ่งเป็นเหมือนคราบสกปรก ๑๖ ชนิดที่เกาะกินใจเราอยู่ อาตมาขอแบ่งเป็นกลุ่มง่ายๆ ให้พวกเราลองเช็กลิสต์ไปพร้อมกัน เหมือนเรากำลังส่องกระจกดูใจตัวเองนะโยม
กลุ่มที่ ๑: ไฟลามทุ่ง (ความอยากและความโกรธ) ๑. อภิชฌาวิสมโลภะ: ความจ้องจะเอาของคนอื่น… เห็นเขาได้ดี เห็นเขามีของใหม่ ใจมันร้อนรุ่ม อยากได้มาเป็นของตัว ๒. พยาบาท: ความคิดปองร้าย… กะจะเล่นงานเขาคืน รอจังหวะเอาคืน ๓. โกธะ: ความโกรธวูบวาบ… ใครพูดไม่เข้าหู ก็ของขึ้นทันที ๔. อุปนาหะ: ความผูกใจเจ็บ… เรื่องผ่านไปเป็นปีแล้ว แต่ยังแค้นไม่หาย ไม่ยอมปล่อยวาง (Grudge)
กลุ่มที่ ๒: สงครามเย็น (การเปรียบเทียบและอัตตา) ๕. มักขะ: การลบหลู่บุญคุณ… คนเขาทำดีด้วย ก็มองข้าม ไม่เห็นค่า ๖. ปลาสะ: การตีเสมอ… เห็นใครเก่งกว่าไม่ได้ ต้องพยายามเบ่งทับ ยกตนข่มท่าน ๗. อิสสา: ความริษยา… ทนเห็นคนอื่นได้ดีไม่ได้ ไฟอิจฉามันเผาใจ ๘. มัจฉริยะ: ความตระหนี่… หวงวิชา หวงของ หวงพื้นที่ (ไม่ใช่แค่มัธยัสถ์นะโยม แต่คือความใจแคบ)
กลุ่มที่ ๓: หน้ากากสังคม (ความหลอกลวง) ๙. มายา: เจ้าเล่ห์… ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง สร้างภาพเก่ง ๑๐. สาเถยยะ: ขี้คุย… โอ้อวดเกินจริง ถมไม่เต็ม ๑๑. ถัมภะ: หัวดื้อ… ใครเตือนไม่ฟัง ทิฐิสูง เหมือนยางรถที่สูบลมจนแข็งเป๊ก ๑๒. สารัมภะ: แข่งดี… ต้องเอาชนะคะคาน จะพูด จะทำ ต้องเหนือกว่าคนอื่นเสมอ
กลุ่มที่ ๔: ความหลงผิด (ความประมาท) ๑๓. มานะ: ความถือตัว… ยึดติดในตำแหน่ง ฐานะ ชาติตระกูล ๑๔. อติมานะ: ดูถูกคนอื่น… มองคนอื่นเป็นผักปลา เหยียดหยาม ๑๕. มทะ: ความมัวเมา… หลงระเริงในวัย ในสุขภาพ ในอำนาจ คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะอยู่ตลอดไป ๑๖. ปมาทะ: ความประมาท… ปล่อยใจลอยไปตามกิเลส ขาดสติกำกับ
โยมลองถามตัวเองดูซิ… ใน ๑๖ ข้อนี้ มีข้อไหนบ้างที่กำลังเป็น “คราบ” ติดอยู่บนใจเราตอนนี้?
๓. Detox จิต: กระบวนการซักฟอกใจ
ข่าวดีก็คือ… คราบเหล่านี้ “ไม่ใช่เนื้อผ้า” จิตเดิมแท้ของเรานั้นประภัสสร สว่างไสว แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา ดังนั้น “มันซักออกได้!”
วิธีการซักของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องใช้ผงซักฟอกยี่ห้อแพงๆ แต่ใช้กระบวนการทางปัญญา ๓ ขั้นตอน คือ
- รู้ชัด (Awareness): ยอมรับความจริงก่อน อย่าหลอกตัวเอง ถ้าโกรธก็รู้ว่าโกรธ ถ้าอิจฉาก็รู้ว่าอิจฉา การ “รู้ทัน” คือน้ำแรกที่จะชะล้างคราบสกปรก
- ละ (Letting Go): เมื่อรู้แล้วว่ามันสกปรก จะเก็บไว้ทำไม? วางมันลง ไม่ปรุงแต่งต่อ ไม่ให้อาหารแก่กิเลสนั้น
- เติมพลังบวก (Recharging): เมื่อใจสะอาดขึ้น พื้นที่ว่างในใจจะถูกแทนที่ด้วย “ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย” เกิดความอิ่มเอิบใจ (ปีติ) กายจะสงบ จิตจะตั้งมั่น
เมื่อจิตสะอาดถึงขั้นนี้แล้ว โยมจะสามารถแผ่ “พรหมวิหาร ๔” (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) ออกไปได้กว้างไกลไม่มีประมาณ เหมือนเสียงระฆังที่ดังกังวานไปทั่วทุกสารทิศ ไม่มีเวร ไม่มีภัยกับใครอีกต่อไป
๔. อย่าหลงประเด็น: แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน?
มีเรื่องเล่าในพระสูตรนี้ที่น่าสนใจมาก มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อ สุนทริกภารทวาชะ นั่งฟังพระพุทธเจ้าเทศน์จบ ก็เดินเข้าไปถามว่า “พระโคดมจะไปอาบน้ำที่แม่น้ำพาหุกาไหม?” เพราะคนสมัยนั้นเชื่อว่า แม่น้ำพาหุกาเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ อาบแล้วล้างบาปได้
พระพุทธองค์ทรงย้อนถามอย่างชาญฉลาดว่า “แม่น้ำนั้นจะมีประโยชน์อะไร?” พราหมณ์บอกว่า “ก็ชาวโลกเขาถือกันว่า เป็นแม่น้ำที่ล้างมลทินบาปได้น่ะสิ”
พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนด้วยถ้อยคำที่คมคายว่า: “คนพาลที่มีกรรมชั่ว ต่อให้ไปแช่ในแม่น้ำคงคา หรือแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ไหนๆ ก็บริสุทธิ์ไม่ได้หรอก… แต่สำหรับผู้ที่มีความประพฤติบริสุทธิ์ ทุกวันเป็นวันฤกษ์ดี ทุกวันเป็นวันศักดิ์สิทธิ์”
พระองค์ทรงชี้ว่า “ความบริสุทธิ์อยู่ภายใน ไม่ใช่ภายนอก” การไม่พูดเท็จ การไม่เบียดเบียนชีวิตอื่น การมีความศรัทธา และความไม่ตระหนี่… นี่ต่างหากคือ “การอาบน้ำที่แท้จริง” เป็น “ศีล” และ “ปัญญา” ที่ชะล้างใจได้สะอาดกว่าแม่น้ำทุกสายในโลกรวมกัน
บทสรุป
สาธุชนทั้งหลาย…
วันนี้อาตมาอยากชวนพวกเรามาตั้งวง “ซักผ้า” กันเถอะ อย่าปล่อยให้คราบสกปรก ทั้งความโกรธ ความอิจฉา ความถือตัว มันหมักหมมจนกลายเป็นคราบฝังลึก อย่ารอให้ถึงวันปีใหม่ อย่ารอให้ถึงวันเกิด แล้วค่อยคิดจะเริ่มทำดี เพราะเราไม่รู้ว่า ผ้าผืนนี้ (ชีวิตของเรา) จะขาดลงเมื่อไหร่
คืนนี้… ก่อนที่โยมจะหลับตาลง อาตมาขอให้โยมลอง “สแกน” ใจตัวเองดูสักนิด ใช้เช็กลิสต์ ๑๖ ข้อนี้แหละ เป็นกระจกส่องใจ ถามตัวเองตรงๆ ว่า “วันนี้ฉันเผลออิจฉาใครไหม?”, “วันนี้ฉันเผลอพูดโอ้อวดหรือเปล่า?”, “วันนี้ฉันโกรธใครค้างคาอยู่ไหม?”
ถ้าเจอ… อย่าเพิ่งโทษตัวเอง อย่าเพิ่งรู้สึกแย่ ให้ดีใจเถิดว่า “โยมเห็นคราบแล้ว” แล้วใช้สติ ค่อยๆ “ซัก” มันออกไป ให้อภัยตัวเอง ให้อภัยคนอื่น วางความถือตัวลง แล้วนอนหลับไปพร้อมกับใจที่เกลี้ยงเกลา
จำไว้ว่า… ไม่ว่าโลกภายนอกจะเลวร้ายแค่ไหน แต่ถ้า “ผ้าในใจ” ของโยมขาวสะอาดแล้ว โยมจะย้อมชีวิตด้วยสีอะไร… มันก็จะงดงาม สดใส และเป็นสุขอย่างแน่นอน
ขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้มีจิตผ่องใส ปราศจากมลทินเครื่องเศร้าหมอง เป็นผู้สรงสนานแล้วด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ภายใน คือ พระธรรมวินัยนี้ เพื่อความสุข ความเจริญ และความพ้นทุกข์โดยชอบด้วยเทอญ.
เจริญพร.

