จูฬสีหนาทสูตร: ทำไมต้อง “พุทธ”? (เมื่อความดีทั่วไป…ยังพาไปไม่ถึง “นิพพาน”)

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)

เจริญพรสาธุชนผู้มีปัญญาและแสวงหาความจริงของชีวิตทุกท่าน

ในโลกยุคปัจจุบันที่เปิดกว้าง เรามักจะได้ยินคำพูดที่ว่า “ศาสนาไหนก็เหมือนกัน สอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน” คำพูดนี้ฟังดูดี ฟังดูใจกว้าง และสร้างสันติภาพ… ซึ่งในแง่ของการอยู่ร่วมกันในสังคม อาตมาเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าทุกศาสนาล้วนมีคุณค่าในการกล่อมเกลาจิตใจมนุษย์

แต่ถ้าเราเจาะลึกลงไปใน “เป้าหมายสูงสุด” ของชีวิต… คำถามคือ “มันเหมือนกันจริงหรือ?” ถ้าเป้าหมายคือแค่การเป็นคนดี การไปสวรรค์ หรือการมีความสุขทางโลก… ใช่ ทุกที่อาจจะคล้ายกัน แต่ถ้าเป้าหมายคือ “การสิ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง” (นิพพาน) หรือการไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก… พระพุทธองค์ทรงยืนยันด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ดังกังวานประดุจเสียงคำรามของราชสีห์ว่า “สิ่งนี้… มีอยู่ที่นี่ที่เดียว”

วันนี้อาตมาจะพาพวกเรามาถอดรหัสพระสูตรสำคัญที่ชื่อว่า “จูฬสีหนาทสูตร” (Cūḷasīhanāda Sutta) พระสูตรที่พระพุทธองค์ทรงประกาศ “Brand Identity” หรืออัตลักษณ์ที่แท้จริงของพุทธศาสนา ว่าทำไมระบบปฏิบัติการ (OS) ของพุทธ จึงเป็นระบบเดียวที่สามารถกำจัดไวรัสที่ชื่อว่า “กิเลส” ได้อย่างหมดจด

๑. สีหนาท: เสียงคำรามแห่งความมั่นใจ

เริ่มแรก พระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งให้ภิกษุทั้งหลาย “บันลือสีหนาท” โยมต้องเข้าใจก่อนว่า “สีหนาท” คือเสียงคำรามของสิงโต เจ้าป่า เวลาสิงโตคำราม สัตว์น้อยใหญ่จะเกรงขาม เพราะมันออกมาจากพลังอำนาจและความมั่นใจที่แท้จริง พระองค์ให้ประกาศว่า: “สมณะที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๓, และที่ ๔… มีในพระศาสนานี้เท่านั้น! ลัทธิอื่นว่างเปล่าจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง”

ฟังดูแล้ว… หลายคนอาจจะรู้สึกว่า “เอ๊ะ! ทำไมฟังดูขิงจัง? ทำไมดูผูกขาดความจริง?” ใจเย็นๆ ก่อนโยม พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสด้วยความอวดดี หรือความหลงตัวเอง แต่พระองค์ตรัสบนฐานของ “ความจริง” (Fact) เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่กล้าประกาศว่า “สูตรยานี้เท่านั้นที่รักษาโรคมะเร็งชนิดนี้หาย เพราะเราค้นพบตัวยาที่คนอื่นยังหาไม่เจอ”

ความมั่นใจนี้มาจากฐาน ๔ ประการที่พวกเราชาวพุทธต้องมี คือ

  1. มั่นใจใน พระศาสดา (ผู้รู้แจ้งจริง)
  2. มั่นใจใน พระธรรม (แผนที่ที่ถูกต้อง)
  3. มั่นใจใน ศีล (พื้นฐานที่บริบูรณ์)
  4. มั่นใจใน เพื่อนร่วมทาง (กัลยาณมิตรที่น่ารัก น่าพอใจ)

๒. สมณะ ๔ ระดับ: ไม่ใช่แค่ “ห่มเหลือง” แต่คือ “จิตที่ยกระดับ”

คำว่า “สมณะ” ในที่นี้ พระพุทธองค์ไม่ได้หมายถึงคนหัวโล้นห่มผ้าเหลืองนะโยม แต่หมายถึง “ผู้สงบบาป” หรือผู้ที่มี “Quality of Mind” (คุณภาพจิต) ที่ผ่านการสอบเลื่อนขั้นแล้ว ซึ่งมี ๔ ระดับ เหมือนเราเล่นเกมผ่านด่าน

  • ระดับ ๑ (พระโสดาบัน): ผู้ที่ตัดความเห็นผิดว่ามีตัวตนได้ (สักกายทิฏฐิ) เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน ไม่ตกต่ำอีกแล้ว
  • ระดับ ๒ (พระสกทาคามี): ผู้ที่ทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง กลับมาเกิดอีกแค่ครั้งเดียว
  • ระดับ ๓ (พระอนาคามี): ผู้ที่ตัดกามราคะและปฏิฆะได้เด็ดขาด ไม่กลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีก
  • ระดับ ๔ (พระอรหันต์): ผู้ที่ “Game Over” คือจบเกมแห่งวัฏสงสาร หลุดพ้นโดยสิ้นเชิง

พระพุทธองค์ทรงชี้ว่า ในลัทธิความเชื่ออื่น อาจจะมีคนเคร่งครัด มีคนเหาะเหินเดินอากาศได้ มีคนเข้าฌานสมาบัติได้ลึกซึ้ง แต่เขาไม่มี ๔ คนนี้! ทำไม? เพราะระบบการฝึกของเขา ขาดจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่สุดไป

๓. อะไรคือ “จิ๊กซอว์ที่หายไป” ของศาสนาอื่น?

สมมติว่ามีนักบวชศาสนาอื่นเดินมาถามเราว่า “พวกเราก็รักศาสดาของเรา พวกเราก็มีศีล พวกเราก็ทำความดี… แล้วพวกเราต่างกับท่านตรงไหน?”

พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราตอบไปที่ “รากเหง้าของปัญหา” (Root Cause) เลยโยม ความแตกต่างไม่ได้อยู่ที่ “ความดีภายนอก” แต่อยู่ที่ “ความยึดถือภายใน” สิ่งนั้นคือ “อุปาทาน” (ความยึดมั่นถือมั่น)

ศาสนาอื่นอาจจะสอนให้ละกาม (กามุปาทาน) อาจจะสอนให้ยึดถือศีล (สีลัพพตุปาทาน) แต่มีจุดตายจุดหนึ่งที่พวกเขาข้ามไม่พ้น นั่นคือ “อัตตวาทุปาทาน” คือความยึดมั่นในวาทะว่า “มีตัวตน” (Self)

  • เขาอาจจะสอนให้ทำดี เพื่อให้ “ตัวฉัน” ไปสวรรค์
  • เขาอาจจะสอนให้ทรมานตน เพื่อให้ “ตัวฉัน” บริสุทธิ์
  • เขาอาจจะสอนให้รวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้า เพื่อให้ “ตัวฉัน” เป็นนิรันดร์

เห็นไหมโยม? ทุกอย่างยังหมุนรอบคำว่า “ฉัน” (Ego) ตราบใดที่ยังมี “ฉัน” เป็นศูนย์กลาง ก็เหมือนคนตาบอดที่พยายามจะออกจากเขาวงกต แต่เดินวนอยู่ที่เดิม แต่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ “ปฏิจจสมุปบาท” (วงจรแห่งเหตุปัจจัย) พระองค์ทรงเห็นว่า “ตัวกู-ของกู” นี่แหละ คือไวรัสตัวแม่ (Mother Virus) พระองค์จึงสอนให้ถอน “อวิชชา” (ความไม่รู้) เพื่อทำลายวงจรนี้ทิ้งเสีย เมื่อไม่มี “ตัวตน” ให้ยึด… ก็ไม่มี “ผู้รับผล” แห่งความทุกข์ นี่คือความลึกซึ้งที่หาไม่ได้ในที่อื่น และเป็นเหตุผลว่าทำไม “สมณะที่แท้จริง” จึงมีอยู่ที่นี่ที่เดียว

ท่านสาธุชนทั้งหลาย…

การที่อาตมานำพระสูตรนี้มาเล่า ไม่ใช่เพื่อให้พวกเราไปเที่ยวยกตนข่มท่าน หรือไปดูถูกความเชื่ออื่น แต่เพื่อจะ “เขย่าตัว” พวกเราชาวพุทธให้ตื่นขึ้น!

ถามใจตัวเองดูซิโยม… วันนี้เราเป็นชาวพุทธแบบไหน? เราเป็นชาวพุทธแค่ในทะเบียนบ้าน? หรือเป็นชาวพุทธที่กำลังเดินตามรอยราชสีห์?

ถ้าโยมยังเข้าวัดเพื่อขอพรให้ “ฉัน” รวย ถ้าโยมยังทำบุญเพื่อหวังให้ “ฉัน” ได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าโยมยังรักษาศีลเพราะกลัวว่า “ฉัน” จะตกนรก …โยมกำลังทำตัวไม่ต่างจากลัทธิอื่นที่พระพุทธองค์ตรัสถึงเลยนะ! โยมกำลังทำเหมือนพระพุทธศาสนาเป็นประหนึ่งแค่ “ลัทธิแสวงหาความสุข” ทั่วไป

ตื่นได้แล้วโยม! แก่นแท้ของพุทธศาสนา ไม่ใช่การสะสมบุญเพื่อปรนเปรอตัวตน แต่คือการ “ขัดเกลา” เพื่อลดละตัวตน คือการกล้าที่จะมองเห็นว่า กายนี้ ใจนี้ ไม่ใช่ของเรา คือการกล้าที่จะปล่อยวาง “ความถูกใจ” และ “ความไม่ถูกใจ”

ขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้กล้าหาญดุจราชสีห์ กล้าที่จะละวางความยึดมั่นถือมั่น และก้าวเดินไปบนหนทางสายเอกนี้ จนกว่าจะถึงฝั่งแห่งความพ้นทุกข์โดยชอบด้วยเทอญ.

เจริญพร.

You may also like...

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *