มหาสีหนาทสูตร: ๑๐ พลังแห่ง “ความแกล้วกล้า” (เมื่อพระพุทธเจ้าท้าพิสูจน์ญาณ)

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)

เจริญพรสาธุชนผู้มีปัญญาแสวงหาความจริงอันประเสริฐทุกท่าน

ในยุคสมัยที่ข้อมูลข่าวสารหลั่งไหลอย่างรวดเร็ว เรามักจะได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ คำติเตียน หรือแม้แต่การกล่าวร้ายต่อสิ่งต่าง ๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่ในวงการศาสนา บางครั้งเราอาจได้ยินคนพูดว่า “ธรรมะเป็นเรื่องของคนคิดมาก” หรือ ในลักษณะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้มีญาณวิเศษอะไร เป็นต้น คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยโยม มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว

มีบุคคลหนึ่งชื่อ สุนักขัตตะ เขาเคยบวชเรียนอยู่กับพระพุทธเจ้า แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็สึกออกไป แล้วไปป่าวประกาศทั่วเมืองเวสาลีว่า “พระสมณโคดมไม่มีญาณทัสสนะอันวิเศษอะไรหรอก ธรรมะที่สอนก็แค่คิดเอาเอง เดาเอาเอง” คำพูดนี้ร้ายแรงมากนะโยม เป็นการดิสเครดิต (Discredit) พระพุทธองค์โดยตรง

แต่แทนที่พระพุทธองค์จะโกรธ หรือทรงออกมาแก้ตัวด้วยอารมณ์ พระองค์กลับทรงใช้โอกาสนี้ “บันลือสีหนาท” หรือคำรามดุจราชสีห์ ประกาศความจริงอันยิ่งใหญ่ให้โลกรับรู้ ในพระสูตรที่ชื่อว่า “มหาสีหนาทสูตร” (Mahāsīhanāda Sutta) วันนี้อาตมาจะพาพวกเรามาดูว่า “พลังอำนาจ” ที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าคืออะไร และทำไมถึงไม่มีใครในจักรวาลนี้กล้าทักท้วงพระองค์ได้

๑. ทศพลญาณ: แผนผังความรู้ระดับจักรวาล (The Ultimate Knowledge Map)

พระพุทธองค์ทรงไม่ได้โต้ตอบด้วยคำด่าทอ แต่ทรงประกาศ “กำลังของตถาคต ๑๐ ประการ” (ทศพลญาณ) นี่ไม่ใช่แค่ความรู้รอบตัว แต่เป็น “ญาณหยั่งรู้” ที่เจาะลึกถึงโครงสร้างของชีวิตและจักรวาล อาตมาขอยกตัวอย่างญาณสำคัญๆ ให้เห็นภาพนะโยม

  1. รู้ฐานะและอฐานะ: ทรงรู้ชัดว่าอะไรเป็นไปได้ อะไรเป็นไปไม่ได้ (เช่น ทำชั่วแล้วจะได้ดี… เป็นไปไม่ได้)
  2. รู้วิบากกรรม: ทรงเห็นเส้นทางของกรรมเหมือนเห็นถนน ทรงรู้ว่าการกระทำแบบนี้ ส่งผลอย่างไรในอดีต ปัจจุบัน อนาคต
  3. รู้จริตนิสัยสัตว์โลก: ทรงสแกนกรรมสัตว์โลกได้หมด รู้ว่าคนนี้อินทรีย์แก่กล้าสอนง่าย คนนี้อินทรีย์อ่อนต้องค่อย ๆ สอน รู้ว่าใจเขาน้อมไปทางไหน
  4. รู้เส้นทางไปสู่ทุกภพภูมิ: ทรงมีแผนที่ GPS ของสังสารวัฏ ทรงรู้ว่าทางสายนี้ไปนรก ทางสายนี้ไปสวรรค์ และทางสายไหนไปนิพพาน
  5. ระลึกชาติและมีตาทิพย์: ทรงเห็นอดีตชาติของตนเองและผู้อื่น ทรงเห็นสัตว์โลกเกิดตาย เวียนว่ายตามกรรม เหมือนคนยืนอยู่บนปราสาทมองลงมาเห็นคนเดินขวักไขว่ข้างล่าง
  6. อาสวักขยญาณ (สำคัญที่สุด): ทรงรู้วิธีทำลายกิเลสให้สิ้นซาก ทำให้หลุดพ้นจากวงจรทุกข์โดยสิ้นเชิง

ด้วยพลังญาณทั้ง ๑๐ นี้แหละ ทำให้พระพุทธองค์ทรงกล้าปฏิญาณตนว่าเป็น “ผู้นำโลก” และทรงหมุนกงล้อแห่งธรรม ให้เคลื่อนไปโดยที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้

๒. ความแกล้วกล้า ๔ ประการ: เกราะเพชรที่ไม่มีใครเจาะเข้า

นอกจากญาณหยั่งรู้แล้ว พระพุทธองค์ยังทรงมีคุณสมบัติที่เรียกว่า “เวสารัชชธรรม” หรือ “ความแกล้วกล้า ๔ ประการ” เปรียบเหมือนเกราะเพชรคุ้มกันภัย ทำให้พระองค์ทรงสง่าผ่าเผยในทุกที่ที่เสด็จไป ไม่ว่าจะท่ามกลางมนุษย์ เทวดา มาร หรือพรหม ทรงประกาศก้องว่า

  1. ไม่มีใครกล้าท้วงว่า “ท่านยังไม่ตรัสรู้จริง” เพราะทรงรู้แจ้งจริง
  2. ไม่มีใครกล้าท้วงว่า “กิเลสท่านยังไม่หมด” เพราะทรงบริสุทธิ์หมดจดจริง
  3. ไม่มีใครกล้าท้วงว่า “ธรรมที่ท่านบอกว่าเป็นอันตรายนั้น ไม่อันตรายจริง” เพราะสิ่งที่ทรงห้าม (เช่น บาปอกุศล) เป็นอันตรายจริง ไม่มีข้อโต้แย้ง
  4. ไม่มีใครกล้าท้วงว่า “ธรรมที่ท่านสอน ไม่นำไปสู่ความพ้นทุกข์” เพราะคนที่ทำตาม ย่อมพ้นทุกข์ได้จริง พิสูจน์ได้

นี่คือความมั่นใจที่ไม่ใช่ความอวดดี แต่เป็นความมั่นใจของ “ผู้รู้จริง” (The Expert) ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วด้วยชีวิต

๓. ทางแยก ๕ สาย กับปลายทางที่เลือกได้

ในพระสูตรนี้ พระพุทธองค์ยังทรงเปรียบเทียบชีวิตมนุษย์เหมือนคนเดินทาง ทรงชี้ให้เห็น “คติ ๕” หรือปลายทาง ๕ สายที่เราเลือกเดินได้ ลองมาเช็คตัวเองกันหน่อยโยม ว่าตอนนี้เรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางไหน?

  • ทางไปนรก: เหมือนคนเดินลงหลุมถ่านเพลิงร้อนระอุ… (เต็มไปด้วยความโกรธ ความอาฆาต)
  • ทางไปเดรัจฉาน: เหมือนคนเดินลงหลุมอุจจาระ (คูถ)… (เต็มไปด้วยความหลง มัวเมา กิน กาม เกียรติ)
  • ทางไปเปรต: เหมือนคนไปนั่งใต้ต้นไม้ที่มีเงาโปร่ง แดดเผาตัว… (เต็มไปด้วยความโลภ หิวโหย ไม่รู้จักพอ)
  • ทางไปมนุษย์: เหมือนคนไปนั่งใต้ต้นไม้ร่มรื่น สบายบ้าง ร้อนบ้าง… (รู้จักศีล รู้จักธรรม พออยู่พอกิน)
  • ทางไปสวรรค์: เหมือนคนขึ้นไปอยู่บนปราสาทเรือนยอด เย็นสบาย… (ใจบุญ สุนทาน มีเมตตา)

แต่ทางที่สุดยอดที่สุด คือ “ทางสู่นิพพาน” พระองค์เปรียบเหมือนคนเดินไปเจอ “สระโบกขรณี” น้ำใสสะอาด เย็นชื่นใจ ลงไปอาบน้ำชำระร่างกายจนสะอาด แล้วขึ้นไปนั่งพักผ่อนใน “แนวป่าอันสงบ” เสวยวิมุตติสุข หลุดพ้นจากความร้อนระอุของโลกทั้งปวง

สาธุชนทั้งหลาย…

เรื่องราวของสุนักขัตตะในวันนั้น เตือนสติพวกเราในวันนี้ได้ดีเหลือเกิน อย่าเป็นคนประเภท “ใกล้น้ำเกลือ กินด่าง” อยู่ใกล้ธรรมะ อยู่ใกล้พระพุทธเจ้า (ผ่านพระไตรปิฎก) แต่กลับมองไม่เห็นคุณค่า มัวแต่จับผิด มัวแต่สงสัย มัวแต่ฟังเสียงนกเสียงกา

วันนี้… พระพุทธองค์ทรงกางแผนที่ให้เราดูหมดแล้ว ทรงบอกชัดเจนว่าทางไหนร้อน ทางไหนเย็น อำนาจในการเลือกอยู่ที่ “สองเท้า” ของเราเอง

ถามใจตัวเองดูเถิดโยม… เราอยากจะเดินลงหลุมถ่านเพลิงแห่งความโกรธต่อไปไหม? เราอยากจะเดินลงบ่ออุจจาระแห่งความหลงต่อไปไหม? หรือเราอยากจะพาใจดวงนี้ ไปอาบน้ำในสระโบกขรณีแห่งพระนิพพาน?

จงเชื่อมั่นในปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเถิด เพราะพระองค์คือผู้รู้แจ้งโลก คือราชสีห์ผู้บันลือสีหนาทปลุกสัตว์โลกให้ตื่นจากหลับไหล ขอให้เราทุกคนจงเป็นผู้ตื่นรู้ เดินตามรอยบาทพระศาสดา ก้าวพ้นจากทางกันดาร สู่ดินแดนแห่งความเกษมศานต์ คือพระอมตมหานิพพานด้วยกันทุกท่านเทอญ.

เจริญพร.

You may also like...

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *