อนุมานสูตร: ศาสตร์แห่งการ “ส่องกระจกใจ” (ทำไมคนเก่ง…ถึงต้องยอมให้คนอื่นด่า?)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
เจริญพร สาธุชนผู้แสวงหาความงดงามในจิตใจทุกท่าน
วันนี้อาตมภาพมีคำถามชวนคิด… “ครั้งสุดท้ายที่มีคนมาตำหนิเรา หรือวิจารณ์เรา… เราทำหน้ายังไง?” เราเถียงเขากลับทันทีไหม? เราโกรธจนหน้าแดงไหม? หรือเราแกล้งเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบเกลื่อนความผิด?
ในโลกยุคใหม่ เรามักจะได้ยินคำว่า “Toxic People” หรือคนที่เป็นพิษต่อคนรอบข้าง เรามักจะชี้หน้าด่าคนอื่นว่า “คนนั้น Toxic”, “คนนี้อีโก้สูง”, “เจ้านายคนนี้พูดไม่รู้เรื่อง” แต่เคยไหมโยม… ที่เราจะย้อนกลับมาถามตัวเองว่า “แล้วตัวเราล่ะ… เป็นคน Toxic ในสายตาคนอื่นบ้างหรือเปล่า?”
วันนี้อาตมาจะพาพวกเรามาถอดรหัสพระสูตรที่เปรียบเสมือน “กระจกวิเศษ” ของพระพุทธศาสนา พระสูตรนี้ไม่ได้เทศน์โดยพระพุทธเจ้าโดยตรง แต่เทศน์โดยพระอัครสาวกเบื้องซ้าย ผู้เลิศด้วยฤทธิ์ คือ “ท่านพระมหาโมคคัลลานะ” ท่านไม่ได้มาแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหาะเหินเดินอากาศ แต่ท่านมาแสดง “อิทธิฤทธิ์ทางปัญญา” ในการถอดรหัสจิตใจมนุษย์ ในพระสูตรที่ชื่อว่า “อนุมานสูตร”
๑. อาการของคน “ว่ายาก” (Uncoachable)
ท่านพระมหาโมคคัลลานะท่านสังเกตเห็นความจริงข้อหนึ่งโยม คนบางคน ปากก็บอกว่า “เตือนฉันได้นะ วิจารณ์ฉันได้นะ ฉันเป็นคนเปิดกว้าง (Open Mind)” แต่พอเอาเข้าจริง… เพื่อนฝูงกลับเดินหนี ไม่มีใครกล้าเตือน ไม่มีใครกล้าสอน ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?
ท่านพระมหาโมคคัลลานะสรุปอาการของคน “ว่ายาก” (ทุพพจธรรม) ไว้ถึง ๑๖ ข้อ อาตมาขอยกตัวอย่างอาการเด็ดๆ ที่คนสมัยนี้เป็นกันเยอะ มาให้เช็กกันดู
- พวกอีโก้จัด (ความปรารถนาลามก/ยกตนข่มท่าน): คือพวกที่คิดว่า “ข้าเก่งที่สุด” “ข้าถูกเสมอ” ใครจะมาสอนข้าไม่ได้ มักจะกดคนอื่นให้ต่ำลงเพื่อตัวเองจะดูสูงขึ้น
- พวกขี้เหวี่ยง (มักโกรธ/ผูกโกรธ): แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้ ระเบิดลงทันที หรือบางคนไม่ระเบิด แต่จดบัญชีหนังหมาไว้ “ฝากไว้ก่อนเถอะมึง”
- พวกศรีธนญชัย (โต้เถียง/เฉไฉ): อันนี้สำคัญมากโยม เวลาถูกจับได้ว่าทำผิด แทนที่จะยอมรับ กลับทำ ๓ อย่างนี้
- เถียงสู้: เถียงข้างๆ คูๆ เอาสีข้างเข้าถู
- รุกรานกลับ: “แล้วทีเธอล่ะ! เธอก็ทำผิดเหมือนกันนั่นแหละ” (ย้อนศรซะงั้น)
- เปลี่ยนเรื่อง: แกล้งคุยเรื่องอื่น แกล้งทำเป็นโมโหเรื่องดินฟ้าอากาศ เพื่อกลบเกลื่อนความผิดตัวเอง
อาการเหล่านี้แหละโยม คือ “กำแพง” ที่กั้นไม่ให้กัลยาณมิตรเข้าถึงตัวเรา เมื่อเพื่อนสหธรรมิกเห็นแบบนี้ เขาก็จะคิดในใจว่า “ช่างมันเถอะ พูดไปก็เข้าตัวเปล่าๆ” สุดท้าย… เราก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีใครเตือน และจมปลักอยู่กับความผิดของตัวเองไปจนตาย
๒. “ใจเขา-ใจเรา”: สูตรสำเร็จของการขัดเกลาตน
แล้วจะแก้นิสัยพวกนี้ยังไง? ต้องไปเข้าคอร์สพัฒนาบุคลิกภาพไหม? ท่านพระมหาโมคคัลลานะท่านให้วิธีที่ง่ายกว่านั้น ลึกซึ้งกว่านั้น และไม่ต้องเสียตังค์ ท่านเรียกว่าวิธี “อนุมาน” คำว่า “อนุมาน” แปลว่า “การเทียบเคียง” หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ “การเอาใจเขามาใส่ใจเรา”
ท่านให้สูตรการคิดแบบย้อนศร (Reverse Engineering) แบบนี้โยม
ขั้นที่ ๑: มองคนอื่น (Look at Others) ลองมองไปที่คนที่เราไม่ชอบขี้หน้า คนที่นิสัยแย่ๆ แล้วถามตัวเองว่า “ทำไมเราไม่ชอบเขา?”
- “อ๋อ… เราไม่ชอบไอ้คนนี้ เพราะมันขี้โมโห พูดจาไม่เพราะ”
- “เราไม่ชอบคนนั้น เพราะมันชอบอวดร่ำอวดรวย ข่มคนอื่น”
- “เราไม่ชอบเจ้านายคนนี้ เพราะเวลาเราเสนอความเห็น แกชอบเถียงตะแบง ไม่ฟังลูกน้อง”
ขั้นที่ ๒: ย้อนดูตัว (Look at Yourself) พอรู้แล้วว่าเราเกลียดอะไรในตัวเขา ให้ย้อนกลับมาถามใจตัวเองทันทีว่า “เอ… แล้วตัวเราล่ะ มีนิสัยแบบนั้นบ้างไหม?” “ถ้าเราทำตัวขี้โมโหแบบมัน คนอื่นเขาก็คงเกลียดเรา เหมือนที่เราเกลียดมันใช่ไหม?” นี่แหละคือ “กระจกเงา” คนอื่นคือกระจกสะท้อนตัวเรา ถ้าเราเห็นความน่ารังเกียจในผู้อื่น จงระวังอย่าให้ความน่ารังเกียจนั้นเกิดขึ้นในตน
ขั้นที่ ๓: ตั้งปณิธาน (Commitment) เมื่อเห็นภัยแล้ว ให้ตั้งจิตมั่นเลยว่า “คนอื่นเขาขี้โมโห… แต่เราจักไม่เป็นคนขี้โมโห” “คนอื่นเขาชอบเถียงแก้ตัว… แต่เราจักเป็นคนยอมรับความจริง” “คนอื่นเขาหัวดื้อ… แต่เราจักเป็นคนว่าง่าย”
๓. กระจกส่องหน้า vs กระจกส่องใจ
ท่านพระมหาโมคคัลลานะท่านเปรียบเทียบไว้น่ารักมาก เห็นภาพคนหนุ่มสาวสมัยพุทธกาลเลย ท่านบอกว่า เปรียบเหมือนหนุ่มสาววัยรุ่นที่รักสวยรักงาม เวลาจะออกจากบ้าน ก็ต้องหยิบแว่นส่องหน้า หรือก้มดูเงาตัวเองในโอ่งน้ำใส
- ถ้าเห็น “สิว” หรือ “รอยเปื้อน” บนหน้า ก็จะรีบบีบ รีบเช็ด รีบแต่งหน้ากลบเกลื่อนทันที เพราะอายคนอื่นเขา
- แต่ถ้าส่องแล้วหน้าใสกิ๊ง ก็จะดีใจ มีความมั่นใจ เดินออกจากบ้านอย่างสง่าผ่าเผย
“จิตใจ” ของเราก็เหมือนกันโยม เราอาบน้ำแต่งตัวให้ร่างกายทุกวัน แต่เราเคย “อาบน้ำให้ใจ” บ้างไหม? เราส่องกระจกดูสิวทุกเช้า แต่เราเคย “ส่องกระจกดูอีโก้” ในใจบ้างไหม?
กิเลส ๑๖ ข้อนั้น ก็เหมือน “สิวกรัง” ที่เกาะกินใจ ถ้าโยมส่องดู (ด้วยการอนุมาน) แล้วเห็นว่า “อุ๊ย! วันนี้ฉันเผลอโกรธไปนะ”, “อุ๊ย! เมื่อกี้ฉันเผลออวดเบ่งไปนะ” ให้รีบ “บีบสิวนั้นออก” ทันที! คือพยายามละมันเสีย แต่ถ้าส่องแล้ว วันนี้ใจเราใสสะอาด ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ก็ให้ดีใจ (ปีติ) แล้วรักษาความดีนั้นไว้ เหมือนรักษาหน้าให้ใสสะอาดอยู่เสมอ
บทสรุป
สาธุชนทั้งหลาย…
พระสูตรนี้กำลังบอกความลับสำคัญแก่เราว่า “คนเก่งจริง… คือคนที่ยอมให้คนอื่นสอนได้” “คนฉลาดจริง… คือคนที่กล้าเห็นความโง่ของตัวเอง”
การเป็นคน “ว่าง่าย” ไม่ได้แปลว่าเป็นคนอ่อนแอ หรือหัวอ่อน แต่มันคือคุณสมบัติของ “ภาชนะที่เปิดรับน้ำ” ถ้าโยมทำตัวเป็นแก้วน้ำที่คว่ำอยู่ (ว่ายาก) ต่อให้ฝนตกเป็นห่าฝน (คำสอนดีๆ) โยมก็จะไม่ได้น้ำสักหยด แต่ถ้าโยมเป็นแก้วที่หงายขึ้น (ว่าง่าย) โยมจะรองรับปัญญาจากทั่วทุกสารทิศ
วันนี้ก่อนนอน… อาตมาขอการบ้านข้อเดียว วางกระจกแต่งหน้าลง แล้วหยิบ “กระจกแห่งอนุมานสูตร” ขึ้นมา ลองหลับตาทบทวนเหตุการณ์ในวันนี้ดูซิ… วันนี้เราเผลอขึ้นเสียงใส่ใครไหม? วันนี้เราเผลอแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ตอนโดนทักท้วงไหม? วันนี้เราเผลอมองใครด้วยสายตาดูถูกไหม?
ถ้ามี… อย่าเพิ่งเกลียดตัวเอง แต่ให้บอกตัวเองว่า “ขอบคุณนะที่ทำให้เห็นสิวเม็ดนี้” แล้วตั้งใจว่าพรุ่งนี้ฉันจะบีบมันออก ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก ถ้าไม่มี… ก็จงยิ้มให้กับความงามภายในของตัวเอง แล้วมุ่งมั่นทำดีต่อไป
จำไว้นะโยม… โลกนี้อาจจะไม่มีใครกล้าสอนเรา แต่ถ้าเรามี “สติ” และรู้จัก “เทียบเคียงใจเขาใส่ใจเรา” ตัวเรานั่นแหละ… จะเป็นครูที่ดีที่สุดของตัวเราเอง
ขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้มี “กระจกวิเศษ” ติดตัว หมั่นส่อง หมั่นขัดเกลา จนใจใสสะอาด ปราศจากธุลีแห่งกิเลส เป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วย เทอญ.
เจริญพร.

