Category: กฎหมายและระเบียบคณะสงฆ์
การบริหารจัดการ “วัด” ในปัจจุบัน มิใช่เพียงเรื่องของการเผยแผ่ศาสนาและประกอบพิธีกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรับผิดชอบในฐานะ “นิติบุคคล” ที่ต้องดูแลรักษาทรัพย์สินให้ถูกต้องตามหลักกฎหมาย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๓๕) และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้วางกรอบระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับ “ศาสนสมบัติ” ไว้อย่างชัดเจน เพื่อสร้างความโปร่งใสและรักษาศรัทธาของพุทธศาสนิกชน
ในการบริหารกิจการพระพุทธศาสนา “ทรัพย์สิน” ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องมีการจัดการด้วยความรอบคอบและรัดกุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ศาสนสมบัติกลาง” ซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนรวมของพระศาสนาที่มิได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดใดวัดหนึ่งโดยเฉพาะ บทความนี้จะนำเสนอสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมาย อำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษา และมาตรการคุ้มครองศาสนสมบัติกลาง ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎมหาเถรสมาคม
ทรัพย์สินในพระพุทธศาสนา หรือที่เรียกว่า “ศาสนสมบัติ” เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและมีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงของสถาบันศาสนา กฎหมายคณะสงฆ์ไทยได้จำแนกศาสนสมบัติออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ “ศาสนสมบัติของวัด” และ “ศาสนสมบัติกลาง” บทความนี้จะมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจโครงสร้างทางกฎหมายของ “ศาสนสมบัติกลาง” ครอบคลุมตั้งแต่นิยาม ผู้รับผิดชอบ ที่มาของทรัพย์สิน ตลอดจนมาตรการคุ้มครองทางกฎหมายที่เข้มงวด
การบริหารจัดการทรัพย์สินในพระพุทธศาสนา หรือที่เรียกว่า “ศาสนสมบัติกลาง” เป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่งในทางกฎหมายคณะสงฆ์ โดยกฎหมายได้กำหนดนิติสัมพันธ์และมอบหมายอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาให้แก่องค์กรของรัฐ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปตามยุคสมัยของกฎหมายหลักที่ใช้บังคับ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ตำแหน่ง “เจ้าอาวาส” ถือเป็นตำแหน่งพระสังฆาธิการที่มีความสำคัญยิ่งในการปกครองดูแลวัดและศาสนสมบัติ อย่างไรก็ตาม การดำรงอยู่ของตำแหน่งนี้ย่อมอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่ง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และ กฎมหาเถรสมาคม (โดยเฉพาะฉบับที่ ๑๖ และ ๒๔) ว่าด้วยการแต่งตั้งและถอดถอนพระสังฆาธิการ ซึ่งได้กำหนด “มูลเหตุ” ที่ทำให้เจ้าอาวาสต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ไว้เป็น ๓ ลักษณะสำคัญ ดังนี้
ตำแหน่ง “เจ้าคณะภาค” ถือเป็นตำแหน่งบริหารระดับสูงในการปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค มีหน้าที่กำกับดูแลคณะสงฆ์ในเขตจังหวัดต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ เพื่อให้การคัดเลือกบุคลากรเข้าสู่ตำแหน่งนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและได้บุคคลผู้มีความเหมาะสม การแต่งตั้งจึงต้องเป็นไปตาม กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ซึ่งได้บัญญัติหลักเกณฑ์แบ่งออกเป็นคุณสมบัติทั่วไปและคุณสมบัติเฉพาะ ดังนี้
นิยามความหมาย คำว่า “พระสังฆาธิการ” ในทางนิตินัยและพฤตินัย หมายถึง พระภิกษุผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์ มีอำนาจและหน้าที่ในการบริหารจัดการกิจการพระศาสนาให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย กฎหมาย และระเบียบแบบแผนของมหาเถรสมาคม
การบริหารกิจการคณะสงฆ์ไทย โดยเฉพาะในส่วนของการปกครองอารามชั้นสูงอย่าง “พระอารามหลวง” นั้น เป็นเรื่องที่มีระเบียบแบบแผนและข้อกฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อธำรงไว้ซึ่งความเรียบร้อยและศักดิ์ศรีแห่งสถาบันศาสนา ปัจจุบัน การแต่งตั้งเจ้าอาวาสพระอารามหลวงดำเนินไปภายใต้ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (แก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๓๕) ควบคู่กับ กฎมหาเถรสมาคม ที่เกี่ยวข้อง โดยมีกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจระหว่างผู้บริหารระดับสูงและมติขององค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์
ความต่อเนื่องในการบริหารจัดการศาสนสถานถือเป็นหัวใจสำคัญของการปกครองคณะสงฆ์ เมื่อตำแหน่ง “เจ้าอาวาส” ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดภายในวัดว่างลง หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ กฎหมายคณะสงฆ์จึงได้วางกลไกการแต่งตั้ง “ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส” ไว้อย่างรัดกุม ภายใต้ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๙ (พ.ศ. ๒๕๓๖) เพื่อป้องกันมิให้เกิดสุญญากาศในการบริหารและเพื่อให้กิจการพระศาสนาดำเนินต่อไปได้อย่างเรียบร้อย
ในระบบการบริหารงานบุคคลที่มีธรรมาภิบาล “ดาบอาญาสิทธิ์” ในการลงโทษทางวินัย จะต้องมาพร้อมกับ “โล่แห่งสิทธิ” ในการโต้แย้งเสมอ สำหรับ เจ้าหน้าที่การศึกษาพระปริยัติธรรม (จศป.) ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนการศึกษาคณะสงฆ์ กฎหมายได้วางกลไกการ “อุทธรณ์” (Appeal Process) ไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อเป็นหลักประกันว่า ทุกคำสั่งลงโทษจะผ่านการตรวจสอบความถูกต้องและเป็นธรรม