Category: การศึกษาพระปริยัติธรรม
ในระบบการบริหารงานบุคคลที่มีธรรมาภิบาล “ดาบอาญาสิทธิ์” ในการลงโทษทางวินัย จะต้องมาพร้อมกับ “โล่แห่งสิทธิ” ในการโต้แย้งเสมอ สำหรับ เจ้าหน้าที่การศึกษาพระปริยัติธรรม (จศป.) ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนการศึกษาคณะสงฆ์ กฎหมายได้วางกลไกการ “อุทธรณ์” (Appeal Process) ไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อเป็นหลักประกันว่า ทุกคำสั่งลงโทษจะผ่านการตรวจสอบความถูกต้องและเป็นธรรม
ความต่อเนื่อง (Continuity) ถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารทรัพยากรบุคคล ในโครงสร้างการศึกษาพระปริยัติธรรม คณะกรรมการบริหารงานบุคคลการศึกษาพระปริยัติธรรม (กบป.) เปรียบเสมือนเสาหลักที่คอยกำกับดูแลมาตรฐานบุคลากร เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ กฎระเบียบจึงได้วางกรอบ “วาระการดำรงตำแหน่ง” ไว้อย่างชัดเจน โดยจำแนกตามที่มาของกรรมการ เพื่อสร้างดุลยภาพระหว่างการเปลี่ยนแปลงตามวาระกับการรักษาเสถียรภาพขององค์กร
ในระบบบริหารราชการหรือองค์กรขนาดใหญ่ อำนาจในการ “บรรจุและแต่งตั้ง” (Recruitment and Appointment) ถือเป็นกระดุมเม็ดแรกที่กำหนดทิศทางคุณภาพขององค์กร สำหรับระบบการศึกษาพระปริยัติธรรม ซึ่งมีโครงสร้างที่ซับซ้อนและครอบคลุมทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ กฎหมายได้วางกลไกการมอบอำนาจไว้อย่างชัดเจนใน ข้อ ๓๐ ของข้อบังคับคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม ว่าด้วยการบริหารงานบุคคลฯ พ.ศ. ๒๕๖๓
ในระบบราชการหรือองค์กรขนาดใหญ่ “วินัย” คือกระดูกสันหลังที่ค้ำจุนให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส สำหรับระบบการศึกษาพระปริยัติธรรม ซึ่งมีบุคลากรทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์รวมเรียกว่า “เจ้าหน้าที่การศึกษาพระปริยัติธรรม” (จศป.) นั้น กฎหมายได้วางโครงสร้างอำนาจการลงโทษทางวินัยไว้อย่างรัดกุม โดยจำแนก “ผู้ถือดาบอาญาสิทธิ์” ตามลำดับชั้นของตำแหน่ง เพื่อสร้างดุลยภาพแห่งความยุติธรรม
ในระบบราชการหรือองค์กรขนาดใหญ่ การบริหารทรัพยากรมนุษย์มิอาจปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งโดยปราศจากการตรวจสอบ ระบบการศึกษาพระปริยัติธรรมภายใต้กฎหมายใหม่จึงได้ออกแบบ “กลไกเชิงโครงสร้าง” ที่น่าสนใจ โดยแบ่งแยกหน้าที่ระหว่าง คณะกรรมการบริหารงานบุคคลการศึกษาพระปริยัติธรรม (กบป.) ในฐานะ “สถาปนิก” ผู้ออกแบบมาตรฐาน และ คณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม (กศป.) ในฐานะ “ผู้รักษาประตู” (Gatekeeper) ที่มีอำนาจอนุมัติขั้นสุดท้าย
ในภูมิทัศน์ของการศึกษาไทย “โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา” ถือเป็นโมเดลที่ท้าทายที่สุดรูปแบบหนึ่ง เพราะเป็นการจัดการศึกษาแบบ “ทวิภาค” (Dual Curriculum) ที่ต้องหลอมรวมหลักธรรมทางศาสนาเข้ากับวิชาการทางโลก ภายใต้โจทย์ที่ซับซ้อนนี้ การบริหารจัดการจึงมิอาจขึ้นอยู่กับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยการประสานพลังระหว่าง “จักรล้อแห่งธรรม” (คณะสงฆ์) และ “จักรล้อแห่งรัฐ” (กระทรวงศึกษาธิการ)
ในโลกการศึกษาสมัยใหม่ “ใบปริญญา” มิใช่เพียงกระดาษรับรองความรู้ แต่คือ “ใบเบิกทาง” ทางสังคมและวิชาชีพ สำหรับการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นระบบการเรียนรู้แบบจารีต การประกาศใช้ พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนสถานะของวุฒิการศึกษาสงฆ์ให้มี “ศักดิ์และสิทธิ์” เทียบเท่าการศึกษาทางโลก โดยมี คณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม (กศป.) ทำหน้าที่เป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในการประทับตรารับรอง
ในระบบบริหารงานบุคคลที่มีธรรมาภิบาล “ความยุติธรรม” มิได้หมายถึงเพียงการแต่งตั้งคนดีเข้าสู่ตำแหน่ง แต่ยังหมายรวมถึงกระบวนการเยียวยาเมื่อบุคลากรไม่ได้รับความเป็นธรรม ภายใต้บริบทของการศึกษาพระปริยัติธรรม หาก เจ้าหน้าที่การศึกษาพระปริยัติธรรม (จศป.) รู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการใช้อำนาจของผู้บังคับบัญชา กฎหมายไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาต่อสู้เพียงลำพัง แต่ได้วางกลไก “การร้องทุกข์” ที่มีลำดับชั้นชัดเจน จนถึงองค์กรสูงสุดที่เป็นเสมือน “ศาลสถิตยุติธรรม” ของระบบ
ในระบบการบริหารจัดการองค์กรสมัยใหม่ “ทุนมนุษย์” (Human Capital) ถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด แต่การจะบริหารบุคลากรจำนวนมากให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมได้นั้น จำเป็นต้องมี “ผู้ออกกฎ” หรือ Regulator ที่เข้มแข็ง ในระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย ภายใต้ข้อบังคับปี พ.ศ. ๒๕๖๓ บทบาทนี้ตกเป็นของ คณะกรรมการบริหารงานบุคคลการศึกษาพระปริยัติธรรม (กบป.)
การประกาศใช้ พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ เปรียบเสมือนการ “จัดระเบียบ” ครั้งใหญ่ของวงการการศึกษาสงฆ์ไทย สิ่งหนึ่งที่กฎหมายฉบับนี้ทำหน้าที่ได้อย่างชัดเจนคือการวางนิยามศัพท์และจำแนกประเภทของสถานศึกษาให้เป็นระบบมาตรฐานเดียวกัน ภายใต้ร่มใหญ่ที่เรียกว่า “สถานศึกษาพระปริยัติธรรม”