Tagged: พ.ร.บ.การศึกษาพระปริยัติธรรม
ในระบบราชการหรือองค์กรขนาดใหญ่ “วินัย” คือกระดูกสันหลังที่ค้ำจุนให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส สำหรับระบบการศึกษาพระปริยัติธรรม ซึ่งมีบุคลากรทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์รวมเรียกว่า “เจ้าหน้าที่การศึกษาพระปริยัติธรรม” (จศป.) นั้น กฎหมายได้วางโครงสร้างอำนาจการลงโทษทางวินัยไว้อย่างรัดกุม โดยจำแนก “ผู้ถือดาบอาญาสิทธิ์” ตามลำดับชั้นของตำแหน่ง เพื่อสร้างดุลยภาพแห่งความยุติธรรม
ในระบบราชการหรือองค์กรขนาดใหญ่ การบริหารทรัพยากรมนุษย์มิอาจปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งโดยปราศจากการตรวจสอบ ระบบการศึกษาพระปริยัติธรรมภายใต้กฎหมายใหม่จึงได้ออกแบบ “กลไกเชิงโครงสร้าง” ที่น่าสนใจ โดยแบ่งแยกหน้าที่ระหว่าง คณะกรรมการบริหารงานบุคคลการศึกษาพระปริยัติธรรม (กบป.) ในฐานะ “สถาปนิก” ผู้ออกแบบมาตรฐาน และ คณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม (กศป.) ในฐานะ “ผู้รักษาประตู” (Gatekeeper) ที่มีอำนาจอนุมัติขั้นสุดท้าย
ในโลกการศึกษาสมัยใหม่ “ใบปริญญา” มิใช่เพียงกระดาษรับรองความรู้ แต่คือ “ใบเบิกทาง” ทางสังคมและวิชาชีพ สำหรับการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นระบบการเรียนรู้แบบจารีต การประกาศใช้ พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนสถานะของวุฒิการศึกษาสงฆ์ให้มี “ศักดิ์และสิทธิ์” เทียบเท่าการศึกษาทางโลก โดยมี คณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม (กศป.) ทำหน้าที่เป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในการประทับตรารับรอง
การศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นรากฐานสำคัญของพุทธศาสนาไทยมายาวนาน แต่ภายใต้ความขลังของระบบบริหารเดิม กลับซ่อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมานับทศวรรษ ระบบบริหารเดิมที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจส่วนบุคคล ส่งผลให้การดูแลบุคลากรขาดมาตรฐานและกระจายตัวแบบ “เบี้ยหัวแตก”
การประกาศใช้ พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ มิใช่เพียงการตรากฎหมายฉบับหนึ่งเพื่อรองรับสถานะทางการศึกษาของคณะสงฆ์เท่านั้น หากแต่เป็น “จุดเปลี่ยนผ่าน” (Transition Point) ครั้งสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์พุทธศาสนาไทย กฎหมายฉบับนี้เปรียบเสมือนศิลาฤกษ์ที่วางรากฐานใหม่ให้กับระบบการศึกษาสงฆ์ โดยเปลี่ยนผ่านจากระบบจารีตสู่ระบบบริหารจัดการภาครัฐที่ทันสมัย (Modernization) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางนิติฐานะ โครงสร้างอำนาจ และคุณภาพชีวิตของบุคลากร ดังบทวิเคราะห์ ๓ มิติสำคัญต่อไปนี้
ในระบบการบริหารจัดการองค์กร การมี “ทางเข้า” ที่ดีอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องมี “ทางออก” ที่ชัดเจนและเป็นธรรมด้วย ภายใต้ พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ กฎหมายไม่เพียงแต่กำหนดโครงสร้างการบริหารงาน แต่ยังวางหลักเกณฑ์เรื่อง “การพ้นจากตำแหน่ง” ของบุคลากรและการ “ยุบเลิก” สถานศึกษาไว้อย่างรัดกุม เพื่อสร้างธรรมาภิบาลและมาตรฐานในการบริหารงานบุคคลและทรัพยากรของคณะสงฆ์ บทความนี้จะพาไปสำรวจกลไกดังกล่าวใน ๓ มิติสำคัญ
ภายใต้ร่มเงาของ พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ ระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ได้ถูกยกระดับเข้าสู่ความเป็นมาตรฐานสากล โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การขับเคลื่อนของ “คณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม” (กศป.) ซึ่งทำหน้าที่เสมือน “สมองก้อนโต” หรือองค์กรนโยบายสูงสุด (Supreme Policy Body)
การประกาศใช้ พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ เปรียบเสมือนการ “จัดระเบียบ” ครั้งใหญ่ของวงการการศึกษาสงฆ์ไทย สิ่งหนึ่งที่กฎหมายฉบับนี้ทำหน้าที่ได้อย่างชัดเจนคือการวางนิยามศัพท์และจำแนกประเภทของสถานศึกษาให้เป็นระบบมาตรฐานเดียวกัน ภายใต้ร่มใหญ่ที่เรียกว่า “สถานศึกษาพระปริยัติธรรม”
ในระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย “สำนักเรียน” มิได้เป็นเพียงอาคารสถานที่สำหรับการเรียนรู้ธรรมะและบาลีเท่านั้น แต่คือนิติบุคคลทางศาสนาที่มีสถานะรับรองตามกฎหมาย ภายใต้ พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ และข้อบังคับฉบับล่าสุดปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ได้วางกลไกการจัดตั้งที่รัดกุม โดยกำหนดให้ มหาเถรสมาคม (มส.) เป็นองค์กรผู้ทรงอำนาจอนุมัติขั้นสุดท้าย กระบวนการนี้สะท้อนถึงการยกระดับมาตรฐานการศึกษาที่ต้องผ่านการ “กลั่นกรอง” ตามลำดับชั้นการปกครองอย่างเป็นระบบ
การประกาศใช้ พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ มิใช่เพียงการตรากฎหมายฉบับหนึ่งเพื่อรองรับสถานะทางการศึกษาของคณะสงฆ์เท่านั้น หากแต่เป็น “จุดเปลี่ยนผ่าน” (Transition Point) ครั้งสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์พุทธศาสนาไทย กฎหมายฉบับนี้เปรียบเสมือนศิลาฤกษ์ที่วางรากฐานใหม่ให้กับระบบการศึกษาสงฆ์ โดยเปลี่ยนผ่านจากระบบจารีตสู่ระบบบริหารจัดการภาครัฐที่ทันสมัย (Modernization) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางนิติฐานะ โครงสร้างอำนาจ และคุณภาพชีวิตของบุคลากร ดังบทวิเคราะห์ ๓ มิติสำคัญต่อไปนี้