สัลเลขสูตร: กับดักความสงบ… เมื่อการ “นั่งหลับตา” ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย (ถอดรหัสวิธีขัดเกลาจิตฉบับพุทธแท้)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
เจริญพรสาธุชนผู้แสวงหาทางพ้นทุกข์ทุกท่าน
วันนี้อาตมภาพอยากชวนพวกเรามาคุยกันเรื่อง “ความเข้าใจผิด” ที่น่ากลัวที่สุดเรื่องหนึ่งในวงการนักปฏิบัติธรรม เคยสงสัยไหมโยม? ว่าทำไมบางคนเข้าวัดมาเป็นสิบปี นั่งสมาธิเก่งมาก นั่งทีไรตัวแข็งทื่อ ไม่ไหวติง จิตสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำ แต่พอถอนสมาธิออกมา เจอคนขับรถปาดหน้าหน่อยเดียว… ระเบิดลงทันที! หรือพอกลับถึงบ้าน ลูกหลานทำอะไรไม่ถูกใจ ก็วีนแตก บ้านแตกสาแหรกขาด
คำถามคือ… ที่นั่งหลับตามาเป็นชั่วโมงๆ นั้น มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ? หรือว่าเรากำลัง “หลงทาง” ในเขาวงกตแห่งความสงบกันอยู่?
คำตอบของเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเจนมากเมื่อ ๒,๕๐๐ ปีก่อน ในพระสูตรที่ชื่อว่า “สัลเลขสูตร” (Sallekha Sutta) วันนี้อาตมาจะพาพวกเรามาถอดรหัสพระสูตรนี้ เพื่อที่จะได้รู้ว่า “การขัดเกลากิเลส” (Sallekha) ที่แท้จริง หน้าตามันเป็นอย่างไร และทำไมแค่ “ความสงบ” ถึงยังไม่ใช่ทางออก
๑. แยกให้ออก: ระหว่าง “สปาทางจิต” กับ “การผ่าตัดกิเลส”
เรื่องมันเริ่มจากพระเถระรูปหนึ่งชื่อ ท่านพระมหาจุนทะ เข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับเรื่องทิฏฐิ (ความเห็น) ต่างๆ พระพุทธองค์ทรงสอนหลักการเบื้องต้นก่อนเลยว่า ให้มองสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงว่า “นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่อัตตาตัวตนของเรา” นี่คือการปลดล็อกด่านแรก คือการถอนความยึดมั่นถือมั่น
แต่จุดพีคของพระสูตรนี้ อยู่ตรงที่พระพุทธองค์ทรงจำแนกเรื่อง “สมาธิ” ไว้อย่างน่าสนใจมาก พวกเราชาวพุทธมักเข้าใจว่า การทำสมาธิจนได้ฌาน (Jhana) ไม่ว่าจะฌาน ๑, ๒, ๓, ๔ หรืออรูปฌานขั้นสูง คือสุดยอดของการปฏิบัติแล้ว ใช่ไหม?
พระพุทธเจ้าทรงเบรกความคิดนี้ไว้เลยโยม… ทรงตรัสว่า สภาวะที่จิตสงบจากฌานสมาบัติเหล่านั้น พระองค์ “ไม่เรียกว่า สัลเลขธรรม” (ธรรมเครื่องขัดเกลา) อ้าว! แล้วทรงเรียกว่าอะไร? ทรงเรียกว่า “ทิฏฐธรรมสุขวิหาร” แปลง่ายๆ ว่า “เครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน”
อาตมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพนะโยม “ฌานสมาบัติ” ก็เหมือนกับการพาจิตไปเข้า “สปา” เข้าไปแล้ว สบาย ผ่อนคลาย หายเครียด สงบ เย็น… แต่พอเดินออกจากสปา โรคมะเร็งในตัวเราหายไหม? ไม่หาย เชื้อโรคมันแค่หลับไปชั่วคราว พอตื่นมามันก็อาละวาดใหม่
แต่ “สัลเลขธรรม” เปรียบเหมือน “การผ่าตัด” มันคือกระบวนการลงมีดกรีดเอาเนื้อร้ายออก มันอาจจะไม่สบายเหมือนนอนสปา แต่มันคือวิธีเดียวที่จะรักษาโรคให้หายขาดได้
ดังนั้น โยมต้องเข้าใจก่อนว่า การนั่งสมาธิให้สงบ เป็นเรื่องดี เป็นการพักผ่อน เป็นการชาร์จแบตเตอรี่ (ทิฏฐธรรมสุขวิหาร) แต่การชาร์จแบต ไม่ใช่การทำงาน งานที่แท้จริงคือการ “ขัดเกลา” ซึ่งต้องทำแยกต่างหากจากการนั่งหลับตาเสวยสุข
๒. สัลเลขะ: กลยุทธ์ “สวนกระแส” (The Strategy of Contrarian)
แล้วการ “ขัดเกลา” หรือ “ผ่าตัด” ที่ว่านี้ ต้องทำอย่างไร? ในสัลเลขสูตร พระพุทธองค์ทรงให้สูตรสำเร็จมาเลย เป็นรายการเช็กลิสต์ ๔๔ ข้อ หลักการของ “สัลเลขะ” คือ “การตั้งเจตนาสวนทางกับกิเลส”
พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราตั้งจิตไว้ในใจเลยว่า “คนอื่นเขาทำแบบนั้น… แต่เราจะไม่ทำแบบนั้น”
- เขาเบียดเบียนกัน… เราจักไม่เบียดเบียน
- เขาฆ่าสัตว์… เราจักงดเว้นการฆ่าสัตว์
- เขาพูดโกหก… เราจักพูดความจริง
- เขาขี้เกียจ (ถีนมิทธะ)… เราจักปรารภความเพียร
- เขายึดติดความคิดตัวเอง (ทิฏฐิ)… เราจักปล่อยวางความเห็นได้ง่าย
โยมเห็นภาพไหม? การขัดเกลาไม่ใช่การนั่งนิ่งๆ ให้กิเลสมันหลุดไปเอง แต่มันคือ Active Action มันคือการที่โยมเดินออกไปใช้ชีวิต แล้วเห็นคนอื่นแซงคิว เห็นคนอื่นนินทา แล้วโยมบอกตัวเองว่า “นั่นเรื่องของเขา แต่เราจะไม่ทำ” มันคือการฝืนความเคยชิน ฝืนสัญชาตญาณดิบ การ “ฝืน” นี่แหละคือกิริยาของการ “ขัด” (Scrubbing) ยิ่งขัด แรงเสียดทานยิ่งเยอะ แต่ใจยิ่งสะอาด
ถ้าโยมนั่งสมาธิสงบมาก แต่พอลุกขึ้นมายังขี้งกเหมือนเดิม ยังขี้โมโหเหมือนเดิม ยังดูถูกคนเหมือนเดิม… แสดงว่าโยมแค่ไป “สปา” มาเฉยๆ ยังไม่ได้ทำการ “ขัดเกลา” อะไรเลย
๓. อย่าเป็นเตี้ยอุ้มค่อม: อุปมาเรื่องคนจมโคลน
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากในพระสูตรนี้ คือเรื่องของ “ลำดับความสำคัญ” มีหลายคนชอบบอกว่า “ฉันยังไม่ต้องรีบปฏิบัติธรรมหรอก ฉันขอช่วยคนอื่นก่อน ขอทำงานสังคมก่อน” พระพุทธองค์ทรงใช้อุปมาเรื่อง “คนจมปลัก (โคลนดูด)” ไว้อย่างเฉียบคม
ทรงตรัสว่า… “ผู้ที่ตนเองจมอยู่ในโคลนลึกแล้ว จะช่วยดึงผู้อื่นที่จมอยู่ในโคลนขึ้นมา… เป็นไปไม่ได้” “แต่ผู้ที่ดึงตนเองขึ้นจากโคลนได้แล้ว ฝึกตนเองแล้ว จึงจะสามารถช่วยดึงผู้อื่นขึ้นมาได้… ข้อนี้เป็นไปได้”
นี่ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวนะโยม แต่มันคือ ความจริงทางฟิสิกส์ของจิตวิญญาณ โยมจะเป็น Lifeguard ช่วยคนจมน้ำได้ โยมต้องว่ายน้ำแข็งกว่าเขาก่อน โยมจะสอนให้คนอื่นใจเย็นได้ โยมต้องดับไฟในใจตัวเองให้ได้ก่อน
สัลเลขธรรม จึงเป็นกระบวนการที่ต้อง “เริ่มที่ตัวเรา” อย่าเพิ่งไปเที่ยวชี้หน้าด่าใครว่าเขาไม่ดี ให้หันกลับมาดูที่ใจเราก่อนว่า “เรายังมีโคลนติดอยู่ไหม?” ถ้าเราขัดเกลาตัวเองจนสะอาด จิตใจเรามั่นคง เราจะเป็นหลักให้คนอื่นยึดเหนี่ยวได้เองโดยอัตโนมัติ
บทสรุป
สาธุชนทั้งหลาย…
วันนี้อาตมาอยากให้โยมลองเปลี่ยนมุมมองต่อการปฏิบัติธรรมใหม่ เลิกเสพติดความสงบแบบฉาบฉวย เลิกวัดความก้าวหน้าด้วยระยะเวลาที่นั่งสมาธิได้ แต่วัดกันที่ “รอยขีดข่วน” ของกิเลสในใจว่ามันจางลงบ้างไหม?
นับจากวินาทีนี้ไป… ขอให้โยมใช้ชีวิตด้วยจิตวิญญาณของ “นักขัดเกลา” เมื่อใดก็ตามที่ความโกรธปะทุขึ้น… อย่าเพิ่งรีบระเบิดออกไป ให้ตั้งสติแล้วบอกตัวเองว่า “คนอื่นเขาโกรธ แต่เราจักไม่โกรธ” นี่คือโยมกำลังขัดใจตัวเอง เมื่อใดที่ความโลภอยากได้ของคนอื่นผุดขึ้นมา… ให้บอกตัวเองว่า “คนอื่นเขาโลภ แต่เราจักเป็นผู้สละ” นี่คือโยมกำลังเกลาใจตัวเอง
มันจะอึดอัดไหม? อึดอัดแน่นอน! มันจะทรมานไหม? ทรมานแน่นอน! แต่นั่นแหละคือสัญญาณว่า “สัลเลขธรรม” กำลังทำงาน ความอึดอัดคือเสียงของกิเลสที่กำลังถูกขัดออก ความทรมานคืออาการของเนื้อร้ายที่กำลังถูกตัดทิ้ง
อย่ากลัวความลำบากในการฝืนกิเลส เพราะนั่นคือทางเดียวที่จะพาโยมออกจากโคลนตม จงใช้ “ความสงบ” จากสมาธิ เป็นเพียงน้ำดื่มให้พอชื่นใจ เพื่อให้มีแรงลุกขึ้นมา “ขัดเกลา” กิเลสต่อ จนกว่าใจของโยมจะเกลี้ยงเกลา หมดจด บริสุทธิ์ เมื่อนั้น… โยมจะไม่ใช่แค่ผู้ที่ “พักผ่อน” ในธรรม แต่เป็นผู้ที่ “เข้าถึง” ธรรมอย่างแท้จริง
ขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้กล้าหาญในการขัดเกลาตนเอง เพื่อประโยชน์ตน เพื่อประโยชน์ท่าน และเพื่อความพ้นทุกข์โดยชอบด้วยเทอญ.
เจริญพร.

